Get the App
DOWNLOAD NOW
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอปวัตสัน
  • google-play.png
  • app-store.png
  • app-gallery.png
Find a Store Blog
Watsons Services
0
MY BAG
Share

แมกนีเซียมเป็นแร่ธาตุสำคัญ ที่ร่างกายต้องการ ที่ช่วยในการทำงานของระบบต่าง ๆ ทั้งระบบประสาท ระบบกล้ามเนื้อ การสร้างโปรตีน การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และการรักษาสมดุลของความดันโลหิต แมกนีเซียมยังมีบทบาทสำคัญในการดูดซึมแคลเซียมและวิตามินดี ช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับ ลดความเครียด และบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ 

อย่างไรก็ตาม การรับประทานแมกนีเซียมเสริมที่มากเกินไปอาจส่งผลให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องเสีย คลื่นไส้ หรือปวดท้อง และอาจเป็นอันตรายสำหรับผู้ที่ไตมีปัญหา หรือกำลังทานยาบางชนิด จึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการใช้เสมอ

แมกนีเซียมช่วยอะไรบ้าง? ประโยชน์ที่คุณอาจไม่เคยรู้

แมกนีเซียมมีบทบาทในการทำงานของร่างกายมากกว่า 300 กระบวนการ ทั้งการสร้างพลังงาน การสังเคราะห์โปรตีน การรักษาสมดุลของเซลล์ และการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ถึงแม้ว่าแมกนีเซียมจะเป็นแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการ แต่คนส่วนใหญ่มักได้รับไม่เพียงพอจากอาหารประจำวัน แล้วแมกนีเซียมช่วยอะไรกับร่างกายได้บ้าง มาดูกัน

1. เสริมสร้างสุขภาพกระดูกและฟัน

ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม

แมกนีเซียมจะทำงานร่วมกับแคลเซียมและวิตามินดีในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก ซึ่งช่วยในกระบวนการดูดซึมและเมตาบอลิซึมของแคลเซียม ทำให้แคลเซียมสามารถถูกลำเลียงเข้าสู่กระดูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ การขาดแมกนีเซียมอาจทำให้การดูดซึมแคลเซียมลดลง ส่งผลให้กระดูกเปราะบางแม้จะได้รับแคลเซียมเพียงพอก็ตาม

ป้องกันโรคกระดูกพรุน

เนื่องจากโรคกระดูกพรุนเป็นภาวะที่กระดูกสูญเสียความหนาแน่นและมวลกระดูก ทำให้เปราะบางและแตกหักง่าย แมกนีเซียมมีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคนี้โดยช่วยรักษาสมดุลของแร่ธาตุในกระดูก

เสริมสร้างความแข็งแรงของฟัน

ฟันประกอบด้วยแร่ธาตุหลายชนิด รวมถึงแมกนีเซียม ซึ่งแมกนีเซียมประโยชน์ นั้นคือ ช่วยในการสร้างเคลือบฟันให้แข็งแรงช่วยรักษาสมดุลของแคลเซียมและฟอสฟอรัสในฟัน ป้องกันการเกิดฟันผุและโรคเหงือก นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติเป็นด่างอ่อน ๆ ช่วยลดความเป็นกรดในช่องปาก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการสึกกร่อนของเคลือบฟัน

2. ช่วยให้หลับสบาย

ช่วยผ่อนคลายระบบประสาท

โดยการยับยั้งการส่งสัญญาณประสาทที่มากเกินไปและช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย นอกจากนี้ แมกนีเซียมยังช่วยควบคุมการทำงานของสารสื่อประสาทเช่น GABA (แกมมา-อะมิโนบิวทิริกแอซิด) ซึ่งมีผลในการลดความวิตกกังวลและช่วยให้จิตใจสงบ

ลดอาการนอนไม่หลับ

การศึกษาทางคลินิกพบว่าแมกนีเซียมสามารถช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับได้ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มักมีระดับแมกนีเซียมในร่างกายต่ำ การเสริมแมกนีเซียมช่วยเพิ่มระยะเวลาการนอนหลับ ลดการตื่นกลางดึก และทำให้คุณภาพการนอนดีขึ้น

ปรับสมดุลการหลับ

แมกนีเซียมมีส่วนช่วยในการปรับสมดุลของวงจรการหลับด้วยการควบคุมระดับเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมวงจรการนอนหลับและตื่น การศึกษาพบว่าแมกนีเซียมช่วยรักษาระดับเมลาโทนินให้สมดุล ทำให้นาฬิกาชีวิตในร่างกาย (Circadian Rhythm) ทำงานได้อย่างเป็นปกติ นอกจากนี้ แมกนีเซียมยังช่วยให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะการนอนหลับที่ลึกและฟื้นฟูร่างกาย (Deep Sleep) ได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นช่วงการนอนที่ร่างกายได้รับการซ่อมแซมและฟื้นฟูมากที่สุด

3. บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ

ลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ

แมกนีเซียมทำหน้าที่เป็นสารคลายกล้ามเนื้อตามธรรมชาติ โดยการยับยั้งการหลั่งของแคลเซียมที่มากเกินไปซึ่งเป็นสาเหตุของการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ช่วยลดการอักเสบที่เกิดจากการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ ทำให้อาการปวดบรรเทาลงได้เร็วขึ้น

บรรเทาอาการตะคริว

การขาดแมกนีเซียมเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดตะคริว เนื่องจากแมกนีเซียมช่วยควบคุมการทำงานของเซลล์กล้ามเนื้อและระบบประสาท การเสริมแมกนีเซียมสามารถลดความถี่และความรุนแรงของอาการตะคริวได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์และนักกีฬาที่มักประสบปัญหานี้

ช่วยในการฟื้นฟูกล้ามเนื้อ

แมกนีเซียมมีบทบาทสำคัญในการช่วยสร้างโปรตีนและเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อใหม่


4. ช่วยการทำงานของอินซูลิน 

ช่วยการทำงานของอินซูลิน

แมกนีเซียมมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด แมกนีเซียมช่วยให้เซลล์ในร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ดีขึ้น ทำให้สามารถนำกลูโคสเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ช่วยควบคุมระดับน้ำตาล

แมกนีเซียมมีส่วนสำคัญในกระบวนการเมตาบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรต โดยช่วยในการเปลี่ยนกลูโคสเป็นพลังงานและควบคุมการสะสมของไกลโคเจนในตับ นอกจากนี้ แมกนีเซียมยังช่วยลดความอยากอาหารและความต้องการน้ำตาล ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและน้ำหนักตัว

ข้อควรระวังในการรับประทานแมกนีเซียมเสริม


แม้ว่าแมกนีเซียมจะมีประโยชน์หลายประการ แต่การรับประทานเสริมควรทำด้วยความระมัดระวัง:

  1. ปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ โดยเฉพาะหากมีโรคประจำตัวหรือกำลังทานยาอื่น ๆ
  2. ระวังผลข้างเคียง เช่น ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน หรือปวดท้อง
  3. ไม่เหมาะกับผู้มีปัญหาเรื่องเกี่ยวกับไต เนื่องจากไตทำหน้าที่กำจัดแมกนีเซียมส่วนเกิน
  4. อาจเกิดปฏิกิริยากับยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาลดความดัน หรือยาบำรุงกระดูก
  5. ควรรับประทานตามขนาดที่แนะนำ ปริมาณแมกนีเซียมที่แนะนำต่อวันสำหรับผู้ใหญ่ทั่วไปที่ไม่มีโรคประจำตัวคือ 310-420 มิลลิกรัม ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพิ่มเติมก่อนการรับประทานอาหารเสริมที่มีแมกนีเซียมเป็นส่วนประกอบ 

การได้รับแมกนีเซียมจากอาหารเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด โดยแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยแมกนีเซียม ได้แก่ ถั่วและเมล็ดพืช ผักใบเขียว ธัญพืชไม่ขัดสี อาหารทะเล และดาร์กช็อกโกแลต

ร่างกายจะเป็นอย่างไรหากขาดแมกนีเซียม (Magnesium)?


การขาดแมกนีเซียมอาจไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะแรก แต่หากเกิดขึ้นต่อเนื่องจะส่งผลกระทบต่อร่างกายหลายระบบ ผู้ที่ขาดแมกนีเซียมมักมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย กล้ามเนื้อกระตุก เป็นตะคริวบ่อย ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ หงุดหงิดง่าย ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นผิดจังหวะ และระบบประสาททำงานผิดปกติ ในระยะยาวอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และกระดูกพรุน

แมกนีเซียม ควรทานตอนไหน?

ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการรับประทานแมกนีเซียมขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้ 

  • หากต้องการช่วยให้นอนหลับดีขึ้น ควรรับประทานก่อนนอน 1-2 ชั่วโมง เพราะช่วยผ่อนคลายระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้หลับง่ายขึ้น 
  • หากรับประทานเพื่อเสริมพลังงานและการทำงานของร่างกาย ควรรับประทานในช่วงเช้าหรือก่อนออกกำลังกาย 
  • ส่วนการรับประทานเพื่อช่วยระบบย่อยอาหารและป้องกันท้องผูก ควรรับประทานพร้อมมื้ออาหาร

อย่างไรก็ตาม หากรับประทานแมกนีเซียมแล้วมีอาการคลื่นไส้หรือท้องเสีย ควรรับประทานพร้อมอาหารเพื่อลดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร

อาหารที่อุดมด้วยแมกนีเซียม

  1. ถั่วต่าง ๆ
  2. ผักใบเขียว
  3. โวคาโด
  4. กล้วย
  5. ปลาแซลมอน
  6. เมล็ดฟักทอง
  7. โยเกิร์ต
  8. ช็อกโกแลตดำ

อาการข้างเคียงและข้อควรระวังของแมกนีเซียม


ควรระวังในกรณีต่อไปนี้ :

อาการข้างเคียงที่พบได้

  • ท้องเสีย
  • คลื่นไส้
  • ปวดท้อง

กลุ่มที่ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง


1.ผู้ป่วยโรคไต

ผู้ป่วยโรคไตควรระมัดระวังอย่างยิ่งในการรับประทานแมกนีเซียมเสริม เนื่องจากไตมีหน้าที่สำคัญในการกำจัดแมกนีเซียมส่วนเกินออกจากร่างกาย เมื่อการทำงานของไตบกพร่อง จะทำให้แมกนีเซียมสะสมในเลือดสูงเกินไป (ภาวะ hypermagnesemia) ซึ่งอาจนำไปสู่อาการรุนแรงได้ ตั้งแต่คลื่นไส้ อาเจียน ความดันโลหิตต่ำ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ไปจนถึงอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะและหัวใจหยุดเต้นในกรณีรุนแรง ผู้ป่วยโรคไตควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานอาหารเสริมที่มีแมกนีเซียมเสมอ

2.ผู้ที่มีปัญหาการดูดซึมอาหาร

ผู้ที่มีภาวะลำไส้รั่ว โรคโครห์น ลำไส้แปรปรวน หรือโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการดูดซึมสารอาหาร อาจมีความเสี่ยงทั้งการขาดแมกนีเซียมและการได้รับแมกนีเซียมมากเกินไป การดูดซึมที่ผิดปกติอาจทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมระดับแมกนีเซียมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้ง่าย ผู้ที่มีปัญหาเหล่านี้ควรได้รับการตรวจวัดระดับแมกนีเซียมในเลือดอย่างสม่ำเสมอและปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีการเสริมแมกนีเซียมที่เหมาะสม เพื่อป้องกันโทษของแมกนีเซียมที่อาจเกิดขึ้น

3.ผู้ที่ใช้ยาบางประเภท

แมกนีเซียมอาจเกิดปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์กับยาหลายชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะกลุ่ม aminoglycosides, quinolones และ tetracyclines ซึ่งการใช้ร่วมกันอาจลดประสิทธิภาพของยาเหล่านี้ นอกจากนี้ แมกนีเซียมยังอาจเสริมฤทธิ์ของยาลดความดันโลหิตและยาขยายหลอดเลือด ทำให้ความดันโลหิตลดลงมากเกินไป ยากลุ่มบิสฟอสโฟเนตที่ใช้รักษาโรคกระดูกพรุนและยาเบาหวานบางชนิดก็อาจมีปฏิกิริยากับแมกนีเซียม ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 2 ชั่วโมงระหว่างการรับประทานแมกนีเซียมและยาเหล่านี้

4.ผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

แมกนีเซียมมีผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจและระบบนำไฟฟ้าในหัวใจ ผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โดยเฉพาะภาวะ heart block หรือผู้ที่ใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ ควรระมัดระวังการใช้แมกนีเซียมเสริม เนื่องจากระดับแมกนีเซียมที่สูงเกินไปอาจกดการทำงานของระบบนำไฟฟ้าหัวใจ ทำให้อาการผิดจังหวะรุนแรงขึ้นได้ ในทางตรงกันข้าม การขาดแมกนีเซียมก็อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะได้เช่นกัน จึงควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันแมกนีเซียมโทษที่อาจเกิดขึ้นได้

ข้อควรรู้ก่อนเริ่มทานแมกนีเซียมเสริม


1. ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเริ่มรับประทาน

ก่อนเริ่มรับประทานแมกนีเซียมเสริม ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อประเมินความเหมาะสมและความจำเป็น โดยเฉพาะหากมีโรคประจำตัว เช่น โรคไต โรคหัวใจ หรือกำลังใช้ยาอื่นอยู่ เพื่อป้องกันการใช้ยาโดยไม่จำเป็นหรือเกินขนาด

2. เริ่มจากปริมาณน้อย ๆ

การเริ่มรับประทานแมกนีเซียมเสริมควรเริ่มจากขนาดต่ำก่อน เช่น 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน แล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร การเริ่มด้วยขนาดสูงทันทีอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงทางระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสีย คลื่นไส้ หรือปวดท้อง นอกจากนี้ การค่อย ๆ เพิ่มขนาดยังช่วยให้ร่างกายปรับตัวและดูดซึมแมกนีเซียมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดโอกาสการเกิดอาการไม่พึงประสงค์

เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?

ควรพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการต่อไปนี้หลังทานแมกนีเซียม:

  • หัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • กล้ามเนื้ออ่อนแรงรุนแรง
  • หายใจลำบาก
  • มีผื่นแพ้รุนแรง
  • ความดันโลหิตต่ำผิดปกติ

สรุป

แมกนีเซียมประโยชน์มีมากมายต่อร่างกาย แต่การรับประทานเสริมควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์และเภสัชกร เพื่อประโยชน์สูงสุดของการรับประทานแมกนีเซียม และช่วยลดโอกาสการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ต่างๆ

หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น ไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกร หากมีข้อสงสัยหรือต้องการเริ่มทานแมกนีเซียมเสริม กรุณาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ


คลิกอ่านคอนเท้นอื่นๆที่น่าสนใจ

Previous

15 สุดยอด ครีมกันแดดญี่ปุ่น ยอดนิยม ติดชาร์จตัวดังใช้ดี

Related Topics
Share
WHAT’S HOT
  1. 10 ร้านเสื้อผ้าในไอจีราคาถูก หลักร้อย ไม่ตกเทรนด์
  2. 12 สกินแคร์จาก CICA ส่วนผสมช่วยลดสิว ผิวระคายเคือง
  3. 10 สถานที่ขอพรเรื่องความรัก ช่วยคนโสดไม่ให้นก
  4. 15 ครีมบำรุงผิวขาว และครีมทาผิวขาวยี่ห้อไหนดี 2025
  5. แต่งหน้าเป๊ะปังด้วยเมคอัพ ชิ้นที่สอง1บาท
  6. 15 สุดยอด ครีมกันแดดญี่ปุ่น ยอดนิยม ติดชาร์จตัวดังใช้ดี
  7. สิวที่หัวเป็นตุ่มสาเหตุคืออะไร รักษาอย่างไรดี
  8. วิธีรักษารอยดําจากสิวเร็วที่สุด รักษาอย่างไรดีให้เห็นผลจริง
  9. Glass Skin คืออะไร? เผยเคล็ดลับสร้างผิวกระจก ฉ่ำโกลว์ เนียนใส
  10. ผื่นโรคผิวหนังคันเป็นวง เป็นสาเหตุของโรคอะไรได้บ้าง
  11. แมกนีเซียมช่วยอะไร มีประโยชน์และโทษอย่างไรต่อร่างกาย
*/?>