โหลดแอปฯ
ดาวน์โหลด:
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอปวัตสัน
  • google-play.png
  • app-store.png
  • app-gallery.png
ค้นหาร้านค้า บทความน่าอ่าน
Watsons Services
0
ตะกร้า
Share

ช่วงนี้เภสัชกรได้ให้คำปรึกษาบ่อย ๆ เกี่ยวกับปัญหาท้องผูก จะพบว่าคนยุคใหม่มักประสบปัญหาท้องผูกมากขึ้น เนื่องจากหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปในสังคมสมัยใหม่ เช่น พฤติกรรมการรับประทานอาหาร 

ในปัจจุบันผู้คนมักรับประทานอาหารที่มีใยอาหารน้อย ขาดการออกกำลังกาย การนั่งทำงานเป็นเวลานานๆ หรือการใช้ชีวิตที่ไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหว ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่ ความเครียดและความวิตกกังวล มีผลกระทบต่อการทำงานของระบบทางเดินอาหาร โดยอาจทำให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ช้าลง ซึ่งส่งผลให้ท้องผูกได้ 

หรือการดื่มน้ำไม่เพียงพอทำให้อุจจาระแข็งยากต่อการขับถ่าย การดูแลสุขภาพและปรับพฤติกรรม เช่น การดื่มน้ำให้เพียงพอ การรับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูง การออกกำลังกาย จะช่วงป้องกันและบรรเทาอาการท้องผูกได้หรืออาจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยส่งเสริมให้การขับถ่ายดีขึ้น เช่น โพรไบติกส์ พรีไบโอติกส์ ไฟเบอร์

โพรไบโอติกส์ คืออะไร

โพรไบโอติกส์ (Probiotics) คือ จุลินทรีย์ขนาดเล็กที่มีประโยชน์ที่อยู่ในร่างกายมนุษย์ โดยเฉพาะในส่วนระบบทางเดินอาหาร รวมถึงในระบบอื่นๆ ของร่างกาย ตัวอย่างจุลินทรีย์ในกลุ่มนี้คือ Lactobacillus และ Bifidobacterium ส่งผลดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหารและภูมิคุ้มกัน ป้องกันและรักษาสมดุลไม่ให้จุลินทรีย์ชนิดที่ก่อให้เกิดโรคเติบโต ซึ่งยังสามารถพบได้ในอาหาร เช่น นมเปรี้ยว โยเกิร์ต เมื่อบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม

 พรีไบโอติกส์ คืออะไร

พรีไบโอติกส์ (Prebiotics) คือ เส้นใยอาหารหรือคาร์โบไฮเดรตชนิดที่ร่างกายย่อยไม่ได้ แต่มีประโยชน์ในการเป็นอาหารให้จุลินทรีย์ดีในลำไส้ ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของโพรไบโอติกส์ ตัวอย่างของพรีไบโอติกส์ได้แก่ อินูลิน และฟรุกโตโอลิโกแซ็กคาไรด์

โดยทั้ง โพรไบโอติกส์และพรีไบโอติกส์สามารถพบได้ในอาหารประจำวัน เช่น โพรไบโอติกส์พบใน โยเกิร์ตกิมจิ หรือ ถั่วเหลืองหมัก ส่วนพรีไบโอติกส์พบในผักและผลไม้ เช่น กล้วย หัวหอม กระเทียม โดยในแต่ละวันเราควรได้รับ probiotics ตั้งแต่ 10-20 พันล้านตัวต่อวัน หรือ 10,000 ล้าน CFU 

ปัจจุบันยังไม่มีรายงานว่าการได้รับโพรไบโอติกส์ และ พรีไบติกส์ จากอาหารเพียงพอต่อร่างกายในแต่ละวันหรือไม่ ทั้งนี้เราสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีโพรไบโอติกส์และพรีไบโอติกส์มารับประทานเพิ่มได้ตามความต้องการ


ความแตกต่างของ โพรไบโอติกส์ และ พรีไบโอติกส์

โพรไบโอติกส์ คือ จุลินทรีย์มีชีวิตที่เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ดี ช่วยส่งเสริมสุขภาพ ส่วนพรีไบโอติกส์ คือ อาหารของพวกโพรไบโอติกส์ ดังนั้นการทำงานร่วมกันของทั้งโพรไบโอติกส์และพรีไบโอติกส์ จะช่วยรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้

ความแตกต่างของ โพรไบโอติกส์ และ พรีไบโอติกส์

ทำไมเราควรกินโพรไบโอติกส์

การรับประทานโพรไบโอติกส์ช่วยรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ได้ดี จากการศึกษางานวิจัยพบว่า การรับประทานโพรไบโอติกส์ มีผลดีต่อระบบทางเดินอาหารและระบบภูมิคุ้มกัน เช่น คนที่ท้องเสีย ลำไส้ทำงานแปรปรวน ท้องผูก มีการติดเชื้อในช่องคลอด มีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เป็นภูมิแพ้ หรือผู้ที่รับประทานยาฆ่าเชื้อเป็นเวลานาน 

หากพบปัญหาเหล่านี้เป็นประจำ การเลือกรับประทานอาหารหรือผลิตภัณฑ์ที่มีโพรไบโอติกส์จึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการเพิ่มจุลินทรีย์ที่ดีและส่งเสริมความแข็งแรงของร่างกาย

ประโยชน์ของโพรไบโอติกส์ช่วยในเรื่องอะไรบ้าง  

  1. โพรไบโอติกส์มีประโยชน์ในการช่วยรักษาสมดุลจุลินทรีย์ของร่างกาย 
  2. ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร โดยป้องกันไม่ให้เชื้อก่อโรคจับที่ผิวเยื่อบุลำไส้ โดยการสร้างเกราะป้องกันบริเวณเยื่อบุลำไส้
  3. ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อฉวยโอกาสในร่างกาย 
  4. ลดอาการท้องเสียโดยเฉพาะจากการใช้ยาปฏิชีวนะ 
  5. ปรับสมดุลระบบทางเดินอาหาร 
  6. กระตุ้นการย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหาร 
  7. ลดความเสี่ยงของโรคลำไส้ 
  8. ลดความเสี่ยงการติดเชื้อในช่องคลอด และทางเดินปัสสาวะ 
  9. ช่วยให้ปัญหาภูมิแพ้ลดลง
  10. มีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิด LDL

5 อาหารที่มีพรีไบโอติกส์ชั้นเยี่ยม


  1. หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
หน่อไม้ฝรั่ง

หน่อไม้ฝรั่งถือเป็นแหล่งพรีไบโอติกส์ที่มีอินูลินสูง ซึ่งเป็นเส้นใยชนิดหนึ่งที่ไม่ถูกย่อยในทางเดินอาหาร และช่วยกระตุ้นการเติบโตของแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ เช่น Bifidobacteria รวมถึงช่วยปรับปรุงระบบย่อยอาหาร เพิ่มภูมิคุ้มกัน และสนับสนุนสุขภาพหัวใจ

2.อาร์ติโช้ค (Artichokes)

Artichokes

อาร์ติโช้คเป็นพืชที่มีอินูลินสูง ซึ่งช่วยในกระบวนการย่อยอาหารโดยการเพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้และช่วยลดความไม่สบายท้อง เช่น ท้องอืด รวมถึงช่วยสนับสนุนการทำงานของตับให้ดีมากยิ่งขึ้น 

3.หอมใหญ่และกระเทียม

หอมใหญ่กระเทียม

หอมใหญ่และกระเทียมเป็นอาหารที่มีพรีไบโอติกส์ตามธรรมชาติในรูปของอินูลินและฟรุกโตโอลิโกแซคคาไรด์ (FOS) ซึ่งช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ในลำไส้ เพิ่มภูมิคุ้มกัน และลดการอักเสบ

4.ต้นหอมฝรั่ง (Leeks) 

ต้นหอมฝรั่งมีสารพรีไบโอติกส์ที่ช่วยในการกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร คล้ายกับหอมใหญ่และกระเทียม นอกจากนี้ยังมีเส้นใยอาหารที่ช่วยให้ลำไส้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5.รากชิโครี่ (Chicory Root)

Chicory Root

รากชิโครี่เป็นแหล่งอินูลินที่เข้มข้นที่สุดในอาหารธรรมชาติ โดยอินูลินในรากชิโครี่ช่วยในการรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด


พรีไบโอติกส์ในท้องตลาดมีรูปแบบใดบ้าง

1.แบบผง

แบบผง

ลักษณะ:

  • พรีไบโอติกส์เนื้อละเอียด ละลายง่ายในน้ำหรือของเหลว
  • ส่วนใหญ่มักไม่มีกลิ่นและไม่มีสี ทำให้ผสมในอาหารหรือเครื่องดื่มได้โดยไม่ส่งผลต่อรสชาติ

ข้อดีของพรีไบโอติกส์แบบผง ช่วยอะไรบ้าง:

  • ใช้งานง่าย ปรับปริมาณการใช้ได้ตามความต้องการ
  • เหมาะสำหรับคนที่ต้องการพรีไบโอติกส์ในปริมาณมาก
  • สามารถผสมในอาหารและเครื่องดื่มได้หลากหลาย

ข้อเสียของพรีไบโอติกส์แบบผง:

  • อาจไม่สะดวกในการพกพา
  • ต้องผสมก่อนบริโภค ซึ่งอาจยุ่งยากสำหรับบางคน

เหมาะสำหรับใคร:

  • ผู้ที่มีปัญหาในการกลืนยา เช่น ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีปัญหาเรื่องลำคอ
  • ผู้ที่ต้องการเพิ่มพรีไบโอติกส์ในอาหารหรือเครื่องดื่ม

2. แบบเม็ด

แบบเม็ด

ลักษณะ:

  • มีลักษณะเป็นเม็ด แข็งหรือเคลือบผิว สามารถกลืนได้ง่าย
  • บางผลิตภัณฑ์อาจมีการเคลือบเพื่อให้ละลายเฉพาะในลำไส้

ข้อดีของพรีไบโอติกส์แบบเม็ด ช่วยอะไรบ้าง:

  • พกพาง่าย สะดวกในการรับประทาน
  • ไม่ต้องเตรียมล่วงหน้า

ข้อเสียของพรีไบโอติกส์แบบเม็ด:

  • ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการกลืน
  • ปริมาณพรีไบโอติกส์ใน 1 เม็ดอาจน้อยกว่ารูปแบบผง

เหมาะสำหรับใคร:

  • ผู้ที่เดินทางบ่อยและต้องการความสะดวก
  • ผู้ที่ไม่มีปัญหาในการกลืนยา

3. แบบเยลลี่

แบบเยลลี่

ลักษณะ:

  • มีลักษณะนิ่ม หอมหวาน เนื้อสัมผัสคล้ายขนมเยลลี่
  • มักมีรสชาติที่หลากหลาย เช่น ผลไม้ เพื่อเพิ่มความน่ารับประทาน

ข้อดีพรีไบโอติกส์แบบเยลลี่ ช่วยอะไรบ้าง:

  • รสชาติอร่อย ทานง่าย โดยเฉพาะสำหรับเด็ก
  • ไม่ต้องผสมหรือละลายในน้ำ

ข้อเสียของพรีไบโอติกส์แบบเยลลี่:

  • อาจมีปริมาณน้ำตาลสูงกว่ารูปแบบอื่น
  • ปริมาณพรีไบโอติกส์ต่อชิ้นอาจน้อยกว่าผงหรือเม็ด

เหมาะสำหรับใคร:

  • เด็กที่ไม่ชอบกลืนยา หรือผู้ที่ต้องการทานในรูปแบบขนม
  • ผู้ที่มองหาทางเลือกที่อร่อยและสนุกในการรับพรีไบโอติกส์

จุลินทรีย์ใดบ้างที่จัดอยู่ในกลุ่มโพรไบโอติกส์


จุลินทรีย์ที่อยู่ในกลุ่มโพรไบโอติกส์ที่มีความนิยม มีดังนี้

1. แลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus)

เป็นกลุ่มแบคทีเรียที่พบมากที่สุดในโพรไบโอติกส์ ช่วยในการย่อยอาหารและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

2. บิฟิโดแบคทีเรียม (Bifidobacterium)

พบในลำไส้ใหญ่ ช่วยบรรเทาอาการลำไส้แปรปรวนและปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้

3. แซคคาโรไมซิส บูลาร์ดี (Saccharomyces Boulardii)

เป็นยีสต์ที่ช่วยบรรเทาอาการท้องเสียและปัญหาทางเดินอาหาร

4.สเตรปโตค็อกคัส เทอร์โมฟิลัส (Streptococcus Thermophilus)

ช่วยในการย่อยน้ำตาลแลคโตสในนม เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะไม่ทนทานต่อน้ำตาลแลคโตส

5.เอนเทอโรคอคคัส (Enterococcus)

ช่วยในการย่อยอาหารและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

อาการข้างเคียงที่อาจพบได้หลังจากรับประทานโพรไบโอติกส์


หากมีการรับประทานโพรไบโอติกส์ ในประมาณที่มากเกินไป โดยอาจจะทำให้เกิดภาวะลมในท้องเพิ่มขึ้น เกิดท้องอืดหรือแน่นท้อง หรือท้องเสียได้ ดังนั้นจึงควรรับประทานแต่พอดีหรือตามคำแนะนำข้างผลิตภัณฑ์

โพรไบโอติกส์และพรีไบโอติกส์มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพของเรา ทั้งระบบทางเดินอาหาร ระบบภูมิคุ้มกัน จุลินทรีย์โพรไบโอติกส์มีหลายชนิด เช่น แลคโตบาซิลลัส แซคคาโรไมซิส โดยโพรไบโอติกส์ ช่วยเพิ่มจำนวนจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในลำไส้และพรีไบโอติกส์ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์เหล่านี้ 

การรับประทานทั้งสองอย่างร่วมกันสามารถเสริมสร้างสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ได้ ซึ่งเราควรรับประทานโพรไบโอติกส์วันละ 10,000 ล้าน CFU ต่อวัน ควบคู่กับการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ 

นอกจากการได้รับโพรไบโอติกส์และพรีไบโอติกส์จากอาหารแล้ว ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ที่ใส่โพรไบโอติกส์และพรีไบโอติกส์หลากหลายรูปแบบทั้ง แบบผง แบบเม็ด แบบเยลลี่ แบบแคปซูล ทั้งนี้ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการจดทะเบียน อย.เสมอ และตรวจสอบวันหมดอายุที่บรรจุภัณฑ์ก่อนรับประทาน

เขียนโดย

เขียนโดย ภญ. นันท์นภัส ภัทรเศรษฐไชย สาขา 3213 Century Sukhumvit

ภญ. นันท์นภัส ภัทรเศรษฐไชย สาขา 3213 Century Sukhumvit

Reference

https://www.nccih.nih.gov/health/probiotics-usefulness-and-safety

https://www.aafp.org/pubs/afp/issues/2008/1101/p1073.html

https://www.bumrungrad.com/th/health-blog/july-2019/probiotics-and-prebiotics

https://samitivejchinatown.com/th/article/health/probiotics

https://ods.od.nih.gov/factsheets/Probiotics-HealthProfessional

👥 เกาะติดโปรโมชั่น พร้อมอัพเดท Lifestyle ที่ Facebook https://www.facebook.com/watsonsthailand
📱 แอปพลิเคชั่น โหลดฟรี! https://watsonsonline.store/apphomepage
💚 แอดไลน์วันนี้ ไม่พลาดทุกโปรโมชั่น! LINE Official Account https://line.me/R/ti/p/@watsonsth?from=page
🌈อัพเดททุกเทรนด์ก่อนใคร ที่ Twitter https://twitter.com/WatsonsThailand
📷 ติดตามเคล็ดลับสุขภาพและความงามที่ Instagram https://www.instagram.com/watsonsth/
💟ส่องเทรนด์มาแรงไปกับเรา https://www.tiktok.com/@watsonsth?lang=th-TH

คลิกอ่านคอนเท้นอื่นๆที่น่าสนใจ

Previous

เหตุผลที่คุณควรเลือกมาส์กชีทที่พัฒนาสูตรโดยแพทย์ผิวหนังเกาหลี

Next

10 ลายเล็บเจลมือขาว ขับผิว ช่วยให้นิ้วขาว ทําให้มือสว่าง

Related Topics
Share
*/?>