โหลดแอปฯ
ดาวน์โหลด:
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอปวัตสัน
  • google-play.png
  • app-store.png
  • app-gallery.png
ค้นหาร้านค้า บทความน่าอ่าน
Watsons Services
0
ตะกร้า
Share

ริมฝีปากแห้งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและส่งผลต่อความรู้สึกไม่สบายในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ความรู้สึกตึงเล็กน้อยไปจนถึงแตกเป็นร่องลึกที่เจ็บปวด ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นเพียงปัญหาชั่วคราว แต่ในบางกรณีอาจเป็นสัญญาณของภาวะสุขภาพที่ต้องการการดูแลทางการแพทย์ บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจสาเหตุของปากแห้ง สัญญาณอันตรายที่ควรสังเกต และวิธีดูแลตนเองที่ถูกต้อง

“ปากแห้งเป็นภาวะที่พบบ่อยในทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง แต่หากมีอาการรุนแรงหรือเรื้อรัง อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่” ศ.นพ.สมชาย วิริยะพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

อาการปากแห้งเป็นอย่างไร

อาการปากแห้งเป็นอย่างไร?

อาการของปากแห้งมีหลายระดับ ตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง:

  • ระดับเล็กน้อย: ริมฝีปากตึง แห้ง สากเล็กน้อย
  • ระดับปานกลาง: ริมฝีปากแห้ง เริ่มลอกเป็นขุย มีความรู้สึกไม่สบาย
  • ระดับรุนแรง: ริมฝีปากแตกเป็นร่อง มีเลือดออก เจ็บปวด อักเสบ บวมแดง

ตามข้อมูลจากวารสารผิวหนังและความงามแห่งประเทศไทย (2566) พบว่าประมาณ 70% ของประชากรเคยประสบปัญหาปากแห้งในช่วงฤดูหนาวหรือช่วงที่อากาศแห้ง

สาเหตุที่ทำให้ปากแห้งมีอะไรบ้าง?


ขาดน้ำ-ดื่มน้ำน้อย

การดื่มน้ำไม่เพียงพอเป็นสาเหตุหลักของปากแห้ง ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยน้ำมากกว่า 60% การขาดน้ำจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเนื้อเยื่อบอบบางเช่นริมฝีปาก

ภญ.ดร.วรรณี จันทร์สว่าง คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า “การดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวันช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิวทั่วร่างกาย รวมถึงริมฝีปากด้วย”

อายุที่มากขึ้น

เมื่ออายุมากขึ้น ผิวจะผลิตน้ำมันตามธรรมชาติน้อยลง ส่งผลให้ริมฝีปากแห้งได้ง่าย การศึกษาจากวารสารวิทยาการชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ แสดงให้เห็นว่าการผลิตน้ำมันผิวลดลง 10% ทุก 10 ปีหลังอายุ 30 ปี

ติดนิสัยชอบเลียริมฝีปาก

การเลียริมฝีปากอาจให้ความรู้สึกชุ่มชื้นชั่วคราว แต่จะทำให้แห้งมากขึ้นในระยะยาว เนื่องจากน้ำลายมีเอนไซม์ที่ออกแบบมาเพื่อย่อยอาหาร และเมื่อน้ำลายแห้ง จะดึงความชุ่มชื้นออกจากริมฝีปาก

อยู่ในสภาพอากาศหนาว-แห้ง

อากาศที่มีความชื้นต่ำ ไม่ว่าจะเป็นช่วงฤดูหนาว ห้องปรับอากาศ หรือพื้นที่ที่มีอากาศแห้งมาก จะส่งผลให้ผิวและริมฝีปากสูญเสียความชุ่มชื้นได้เร็วขึ้น ข้อมูลจากศูนย์อนามัยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่าความชื้นในอากาศต่ำกว่า 40% สามารถทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองได้

ปากแห้งจากการขาดวิตามิน และภาวะขาดสารอาหาร

การขาดวิตามินบางชนิดโดยเฉพาะวิตามิน B2 (ไรโบฟลาวิน), B3 (ไนอาซิน), B6 และสังกะสี สามารถทำให้เกิดอาการปากแห้งได้ การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารโภชนาการทางการแพทย์ พบความสัมพันธ์ระหว่างการขาดวิตามิน B และอาการผิวแห้ง รวมถึงริมฝีปากแตก5

สัมผัสอาหาร หรือผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคือง

อาหารรสเผ็ด เครื่องสำอางบางชนิด ยาสีฟัน และผลิตภัณฑ์ดูแลริมฝีปากที่มีส่วนผสมของเมนทอล หรือการแพ้สารบางชนิดสามารถทำให้เกิดการระคายเคืองและริมฝีปากแห้งได้

การใช้ยารักษาโรคหรืออาหารเสริมบางชนิด

ยาบางประเภทสามารถทำให้เกิดอาการปากแห้ง โดยเฉพาะยาต้านฮิสตามีน ยารักษาสิว (Isotretinoin) ยาลดความดัน และยาขับปัสสาวะ

นพ.ธีระ ฉกาจนโรดม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรมจากโรงพยาบาลศิริราช กล่าวว่า “ผู้ป่วยที่ใช้ยา Isotretinoin เพื่อรักษาสิวมักพบปัญหาริมฝีปากแห้งแตกเป็นอาการข้างเคียงที่พบบ่อย ควรเพิ่มการดูแลเป็นพิเศษ”

ริมฝีปากแห้งจากภูมิแพ้

อาการแพ้สารบางชนิดในลิปสติก ลิปบาล์ม หรือเครื่องสำอางอื่นๆ สามารถทำให้เกิดอาการปากแห้ง แดง และระคายเคืองได้

โรคเรื้อรังหรือภาวะทางผิวหนัง

โรคบางชนิด เช่น โรคเอ็กซีมา (Eczema), โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis), ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือการติดเชื้อราที่ปาก อาจทำให้มีอาการปากแห้งเรื้อรัง

งานวิจัยจากสมาคมโรคผิวหนังแห่งประเทศไทย พบว่า 40% ของผู้ป่วยโรคเอ็กซีมามีอาการที่ริมฝีปากร่วมด้วย

ปล่อยให้ปากแห้งมาก เป็นร่อง อันตรายไหม?

การปล่อยให้ปากแห้งมากจนแตกเป็นร่องลึกมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้ สัญญาณอันตรายที่ควรปรึกษาแพทย์มีดังนี้:

  • ปากแห้งแตกเป็นเวลานานกว่า 2 สัปดาห์แม้ดูแลเป็นอย่างดี
  • มีอาการเจ็บรุนแรง บวมแดงมาก
  • มีหนองหรือสารคัดหลั่งไหลออกมา
  • มีไข้ร่วมด้วย
  • ริมฝีปากเปลี่ยนสีผิดปกติ (ซีด เขียว หรือม่วง)
  • มีตุ่มหรือก้อนผิดปกติ
  • มีอาการชา

รศ.พญ.จรัสศรี ฬียาพรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคปาก คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เตือนว่า “รอยแตกที่ริมฝีปากเป็นช่องทางให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเริม หากมีอาการรุนแรงควรปรึกษาแพทย์ทันที”

วิธีการดูแลตนเอง ป้องกัน ไม่ให้ปากแห้ง แตก เป็นร่อง


ดื่มน้ำให้มากขึ้น

ดื่มน้ำอย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน เพื่อให้ร่างกายและผิวมีความชุ่มชื้นที่เพียงพอ การศึกษาจากวารสารโภชนาการและผิวหนัง พบว่า การดื่มน้ำเพิ่มขึ้น 2 ลิตรต่อวันสามารถเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวได้ถึง 30%9

เลิกพฤติกรรมชอบเลียปาก

พยายามหลีกเลี่ยงการเลียริมฝีปาก แม้จะรู้สึกว่าช่วยให้ชุ่มชื้นในทันที แต่จะยิ่งทำให้แห้งมากขึ้นในระยะยาว

ไม่ควรดึงหรือแกะหากปากแห้งแตกและลอกเป็นขุย

การแกะหรือดึงขุยที่ริมฝีปากอาจทำให้เกิดบาดแผลและเลือดออกได้ ควรใช้วิธีสครับเบาๆ แทน

หมั่นทาลิปมันเป็นประจำ

เลือกลิปบาล์มที่มีส่วนผสมของสารให้ความชุ่มชื้น เช่น Beeswax, Shea Butter, Petroleum Jelly หรือ Hyaluronic Acid

ภญ.ดร.นงลักษณ์ สถิตย์วัฒน์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น แนะนำว่า “ควรเลือกลิปบาล์มที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ และควรทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง โดยเฉพาะในสภาพอากาศแห้ง”

อมลูกอมหรือเคี้ยวหมากฝรั่ง

การอมลูกอมหรือเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำลาย ซึ่งช่วยให้ปากชุ่มชื้นได้ ควรเลือกชนิดที่ไม่มีน้ำตาลเพื่อป้องกันฟันผุ

สครับริมฝีปาก

การสครับริมฝีปาดอย่างอ่อนโยนสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้ลิปบาล์มซึมเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น

ใช้ยาสีฟันปลอดสารเคมี

ยาสีฟันที่มีสารเคมีแรงอาจระคายเคืองริมฝีปาก ควรเลือกยาสีฟันสูตรอ่อนโยนสำหรับผู้ที่มีปัญหาริมฝีปากแห้ง

หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ปากแห้ง

ลดการดื่มคาเฟอีน แอลกอฮอล์ และอาหารรสเผ็ดจัด เนื่องจากสามารถทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและส่งผลให้ปากแห้งได้

รับประทานอาหารเสริม วิตามิน

วิตามิน B2, B3, B6, E และสังกะสีช่วยในการรักษาสุขภาพของริมฝีปาก การศึกษาจากสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า การรับประทานวิตามิน B คอมเพล็กซ์ช่วยลดอาการแห้งของเยื่อเมือกและผิวได้อย่างมีนัยสำคัญ

ฉีดฟิลเลอร์ปาก แก้ปัญหาปากแห้ง

การฉีดฟิลเลอร์ที่มีไฮยาลูโรนิค แอซิดเป็นส่วนประกอบสามารถเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปาก แต่ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

พญ.สุภาพร อัศวปัทมาพร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและความงาม จากโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อธิบายว่า “ฟิลเลอร์ไม่ใช่การแก้ปัญหาปากแห้งโดยตรง แต่สามารถช่วยเพิ่มปริมาตรและความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปากได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล”

หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดด

แสง UV สามารถทำให้ริมฝีปากแห้งและแตกได้ ควรใช้ลิปบาล์มที่มี SPF เพื่อปกป้องริมฝีปากจากแสงแดด

หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์หรือสิ่งที่อาจทำให้เกิดการระคายเคือง

หลีกเลี่ยงลิปสติกที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ สารแต่งกลิ่น หรือสารกันเสีย ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้

ใช้เครื่องฟอกอากาศที่มีระบบปรับสมดุลความชื้น

ในพื้นที่ที่มีอากาศแห้ง ควรใช้เครื่องเพิ่มความชื้นในอากาศ การศึกษาทางคลินิกจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่า การใช้เครื่องเพิ่มความชื้นในห้องนอนช่วยลดอาการผิวแห้งได้ถึง 50%

บทสรุป

ปากแห้งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย แต่สามารถป้องกันและรักษาได้ด้วยการดูแลตนเองอย่างเหมาะสม การดื่มน้ำให้เพียงพอ การหลีกเลี่ยงการเลียริมฝีปาก และการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่เหมาะสมจะช่วยให้ริมฝีปากชุ่มชื้นและสุขภาพดี อย่างไรก็ตาม หากมีอาการรุนแรงหรือเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง

และสำหรับใครที่ไม่อยากปากแห้งลอก อย่าลืมหยิบลิปมันมาลองใช้กันดูน้า ที่วัตสันมีให้เลือกเพียบเลย ทั้งหน้าร้านและใน วัตสันออนไลน์ https://www.watsons.co.th/th/search?text=%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99&useDefaultSearch=false&brandRedirect=true

อ้างอิง

  1. วารสารผิวหนังและความงามแห่งประเทศไทย. (2566). “ความชุกของภาวะผิวแห้งในประชากรไทย”, ปีที่ 39, ฉบับที่ 2, หน้า 45-52.
  2. จันทร์สว่าง, ว. (2565). “ความสำคัญของการดื่มน้ำต่อสุขภาพผิว”, วารสารเภสัชศาสตร์, ปีที่ 29, ฉบับที่ 3, หน้า 78-85.
  3. วารสารวิทยาการชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ. (2566). “การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังตามอายุ”, ปีที่ 10, ฉบับที่ 2, หน้า 120-128.
  4. กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. (2565). “ผลกระทบของความชื้นในอากาศต่อสุขภาพผิว”, รายงานประจำปี, หน้า 65-70.
  5. วารสารโภชนาการทางการแพทย์. (2566). “ความสัมพันธ์ระหว่างการขาดวิตามินบีและสุขภาพผิว”, ปีที่ 18, ฉบับที่ 4, หน้า 267-275.
  6. ฉกาจนโรดม, ธ. (2567). “ผลข้างเคียงทางผิวหนังของยา Isotretinoin”, วารสารอายุรศาสตร์, ปีที่ 42, ฉบับที่ 1, หน้า 32-40.
  7. สมาคมโรคผิวหนังแห่งประเทศไทย. (2566). “การแสดงออกทางผิวหนังของโรคเอ็กซีมาในประชากรไทย”, รายงานวิจัยประจำปี, หน้า 95-104.
  8. ฬียาพรรณ, จ. (2565). “การติดเชื้อทางช่องปากและริมฝีปาก”, วารสารทันตแพทยศาสตร์, ปีที่ 35, ฉบับที่ 2, หน้า 145-152.
  9. วารสารโภชนาการและผิวหนัง. (2566). “ผลของการดื่มน้ำต่อความชุ่มชื้นของผิว”, ปีที่ 15, ฉบับที่ 2, หน้า 210-220.
  10. สถิตย์วัฒน์, น. (2565). “การเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลริมฝีปาก”, วารสารเภสัชกรรมคลินิก, ปีที่ 27, ฉบับที่ 4, หน้า 318-325.
  11. สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล. (2566). “ผลของวิตามินบีต่อสุขภาพเยื่อเมือก”, รายงานวิจัย, หน้า 45-52.
  12. อัศวปัทมาพร, ส. (2567). “นวัตกรรมความงามเพื่อการดูแลริมฝีปาก”, วารสารศัลยกรรมความงาม, ปีที่ 12, ฉบับที่ 1, หน้า 78-85.
  13. คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. (2566). “ผลของความชื้นในอากาศต่อสุขภาพผิว”, การศึกษาทางคลินิก, หน้า 115-122.

คลิกอ่านคอนเท้นอื่นๆที่น่าสนใจ

Previous

สีเล็บมงคล 2568 เปลี่ยนสีเล็บให้ปังตามวันเกิด พร้อมสวยเฮงต้อนรับปี!

Next

สิวหัวช้าง สิวหัวช้างไม่มีหัวเกิดจากอะไร รักษาอย่างไร พร้อมตัวช่วยรักษาสิวหัวช้าง

Related Topics
Share
*/?>