โหลดแอปฯ
ดาวน์โหลด:
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอปวัตสัน
  • google-play
  • app-store
  • app-gallery
ค้นหาร้านค้า บทความน่าอ่าน
Community
NEW!!
Watsons Services
0
ตะกร้า
Share

สิวที่หลัง เกิดจากอะไร รักษาสิวที่หลังยังไง ไม่ให้กลับมาเป็นอีก

สิวที่หลัง เรียกได้ว่าเป็นปัญหากวนใจใครหลายคนเลย เพราะมีสิวขึ้นก็หนักใจแล้ว ยังขึ้นในบริเวณที่ดูแลได้ยากอีก บางคนเลยกลัวจนเข็ดไม่อยากเป็นสิวที่หลังอีก บทความนี้วัตสันเลยนำเอาข้อมูลดี ๆ อย่างวิธีรักษาสิวที่หลังมาแบ่งปันเพื่อน ๆ กันด้วย ต้องดูแลยังไงไม่ให้สิวที่หลังกลับมาเป็นซ้ำ ลองตามไปดูกัน

สิวที่หลังเกิดจากอะไร?

สิวที่หลัง (Back Acne หรือ Bacne) เกิดจากหลายปัจจัยที่คล้ายกับสิวบนใบหน้า แต่มีความซับซ้อนเพราะบริเวณหลังเป็นจุดที่มีต่อมไขมันและรูขุมขนหนาแน่น รวมถึงการดูแลทำความสะอาดยากกว่าบริเวณอื่น ๆ โดยสาเหตุการเกิดสิวที่หลังหลัก ๆ ได้แก่

1. การอุดตันของรูขุมขน

ต่อมไขมันผลิตน้ำมัน (Sebum) มากเกินไป รวมกับเซลล์ผิวที่ตายแล้วและสิ่งสกปรก → เกิดเป็นสิวอุดตัน (หัวขาว/หัวดำ)

2. การเจริญของเชื้อแบคทีเรีย

สิวที่หลังเกิดจากแบคทีเรียชนิด Cutibacterium acnes (เดิมชื่อ Propionibacterium acnes) ที่เจริญเติบโตในสภาพที่มีไขมันมาก ทำให้สิวอุดตันกลายเป็นสิวอักเสบได้

3. เหงื่อและความอับชื้น

การใส่เสื้อผ้ารัดแน่นหรือเหงื่อออกมาก เช่น หลังออกกำลังกาย ทำให้ผิวเกิดการอับชื้น → กระตุ้นให้เกิดการอักเสบและสิวที่หลัง

4. ฮอร์โมน

โดยเฉพาะในวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ที่ฮอร์โมนผันผวน (เช่น ช่วงมีประจำเดือน ความเครียด หรือผู้ที่ใช้สเตียรอยด์) จะทำให้ต่อมไขมันทำงานมากขึ้นและเกิดเป็นสิวที่หลังได้

5. การใช้ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันผิว (Acnegenic Products)

โลชั่น น้ำมัน หรือครีมกันแดดที่มีส่วนผสมก่อการอุดตัน เมื่อทาที่หลังแล้วล้างออกไม่หมด อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสิวที่หลังได้

6. พันธุกรรมและปัจจัยด้านสุขภาพ

บางคนมีความเสี่ยงจากกรรมพันธุ์หรือสุขภาพ เช่น ระบบภูมิคุ้มกัน การใช้ยา หรือโรคบางชนิดที่กระตุ้นให้เกิดสิวที่หลังขึ้นได้ง่าย

7. การเสียดสี

การใส่เสื้อผ้าที่แนบตัวเกินไปหรือรัดแน่น รวมถึงการสะพายกระเป๋าที่ไม่สะอาดและอาจมีเชื้อแบคทีเรียสะสม เมื่อสัมผัสเสียดสีกับผิวหลังที่มีเหงื่อและความมันอยู่แล้ว จะทำให้รูขุมขนเกิดการอุดตันและระคายเคือง จนกลายเป็นสิวที่หลังได้ง่ายขึ้นครับ

8. การใช้ยาบางชนิด

การใช้ยาบางชนิด เช่น ยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) อาจกระตุ้นให้เกิดสิวที่หลังได้ หากผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้ยาเหล่านี้ต่อเนื่อง แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องการรักษาสิวที่หลังร่วมด้วย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินว่า สามารถปรับลดขนาดยา หรือเปลี่ยนไปใช้ยาทางเลือกอื่นที่ไม่ทำให้เป็นสิวที่หลังกำเริบได้หรือไม่ เพื่อความปลอดภัยและผลการรักษาที่เหมาะสมที่สุด

9. ความเครียดสะสม

ความเครียดก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้สิวที่หลังเพิ่มขึ้นได้ โดยเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะเครียดหรือกังวล จะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมน คอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการทำงานของต่อมไขมัน ทำให้ผลิตน้ำมันออกมามากเกินความจำเป็น น้ำมันส่วนเกินนี้เมื่อผสมกับเหงื่อและสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่บนผิวหลัง จะทำให้รูขุมขนอุดตันและก่อให้เกิดสิวที่หลังตามมาได้ครับ

10. สิ่งสกปรกใกล้ตัวที่อาจมองข้าม

ฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกบนผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน หรือผ้าห่มที่ไม่ได้ทำความสะอาดก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวที่หลัง นอกจากนี้ความมันจากเส้นผมที่ไม่ได้สระสามารถทำให้เกิดสิวที่หลังตามมาได้

สิวที่หลังมีอาการอย่างไร?

สิวที่หลัง (Back Acne หรือ “Bacne”) เป็นปัญหาผิวที่พบบ่อยและสร้างความรำคาญได้ไม่น้อย อาการมักคล้ายสิวบนใบหน้า แต่จะเกิดขึ้นบริเวณแผ่นหลัง ไหล่ และบางครั้งลามถึงอก โดยสิวที่หลังมีลักษณะดังนี้

  • ตุ่มสิวอุดตัน (Comedones) มักเป็นสิวหัวขาวหรือสิวหัวดำเล็ก ๆ เกิดจากการอุดตันของไขมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว
  • สิวอักเสบ (Papules/Pustules) มีลักษณะเป็นตุ่มแดง หรือมีหนองตรงกลาง ทำให้เจ็บและคันร่วมด้วย
  • สิวหัวช้าง/สิวซีสต์ (Nodules/Cystic Acne) สิวอักเสบรุนแรง ขนาดใหญ่ ลึก เจ็บมาก และอาจทิ้งรอยแผลเป็นหรือรอยดำไว้หลังหาย
  • อาการร่วม ผู้ที่มีสิวที่หลังอาจรู้สึกเจ็บ คัน หรือระคายเคือง โดยเฉพาะเวลามีเหงื่อออกหรือสวมเสื้อผ้าที่รัดแน่น

สิวที่หลังมีกี่ประเภท?

สิวที่หลังสามารถเป็นได้หลายชนิด นอกจากนั้นยังสามารถเกิดได้ทั้งชนิดเดียวทั่วทั้งหลัง และหลายชนิดผสมกัน ซึ่งชนิดของสิวส่วนใหญ่ที่มักเกิดขึ้นบริเวณหลัง มีดังนี้

  • สิวอุดตันหัวขาว (Whiteheads) เป็นสิวที่เกิดจากหัวสิวที่อุดตันอยู่ในรูขุมขนภายใต้ผิวหนัง
  • สิวอุดตันหัวดำ (Blackheads) เป็นสิวเกิดจากการอุดตันรูขุมขนที่เปิดอยู่บริเวณผิวหนัง จากปฏิกิริยาของไขมันและอากาศ
  • สิวตุ่มแดง (Papule) เป็นสิวอักเสบที่อาจจะเกิดได้ทั้งจากการติดเชื้อแบคทีเรียผสมกับการอุดตันของรูขุมขน หรือเกิดจากสิวอุดตันที่ถูกรบกวนจากการสัมผัส กด บีบ แคะ หรือแกะ
  • สิวหัวหนอง (Pustule) เป็นสิวอักเสบมีลักษณะเป็นตุ่มบวมแดงขนาดใหญ่ และมีหนองเป็นจุดสีขาวเหลืองอยู่บริเวณหัว หรือด้านบนของสิว เกิดจากการที่รูขุมขนติดเชื้อจนทำให้กลายเป็นตุ่มหนอง
  • สิวตุ่มแดงขนาดใหญ่ (Nodule) เป็นตุ่มแดงขนาดใหญ่ใต้ผิวหนัง มีอาการเจ็บปวดค่อนข้างมาก มักเกิดจากเป็นสิวอักเสบชนิด Papule แล้วมีการกดบีบสิว ทำให้แบคทีเรียและน้ำมันในตุ่มสิวแตกกระจายอยู่ใต้ผิวหนัง ทำให้สิวยิ่งอักเสบบวมแดง
  • สิวหัวช้าง (Nodulocystic ance หรือ Sever Nodular acne) เป็นสิวที่เกิดจากการติดเชื้อที่ผิวหนังชั้นใน จึงไม่สามารถที่จะปล่อยให้หายเองได้ และถ้าทิ้งไว้อาจจะทำให้เชื้อลุกลามเกิดสิวอีกหลายตุ่มในบริเวณเดียวกัน
เป็นสิวที่หลังต้องรักษาด้วยยารักษาสิว

เป็นสิวที่หลังรักษาได้อย่างไร?

1.การใช้ยารักษาสิวที่หลัง

วิธีรักษาสิวที่หลังที่เป็นที่นิยม และเป็นวิธีรักษาที่เหมาะกับสิวที่หลังที่มีความรุนแรงเล็กน้อยไปจนถึงปานกลาง จะใช้วิธีรักษาด้วยการใช้ยารักษาสิว ซึ่งสามารถใช้ได้หลายตัวยา ได้แก่

  • Benzoyl Peroxide หรือ Benzac ตัวยารักษาสิวที่หาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยาทั่วไป ยาตัวนี้จะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้เหมือนกับยาปฏิชีวนะ ทำให้เชื้อแบคทีเรียไม่สามารถพัฒนาตัวเองต่อไปได้ และไม่ก่อให้เกิดอาการดื้อยา จึงไม่ค่อยพบคนแพ้ยาชนิดมากเท่าไร
  • Retinoid ยาในกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอที่สามารถลดการอุดตัน และยับยั้งการอักเสบของสิว สามารถใช้รักษาได้ทั้งสิวอุดตันและสิวอักเสบ แต่ยาชนิดนี้จะมีผลข้างเคียงอยู่บ้าง อาจจะทำให้ผิวแห้งง่ายและไวต่อแสงแดดมากขึ้น ควรทาครีมกันแดดทุกวัน และหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดโดยตรง เช่น
  • Provamed โปรวาเมด แอนตี้ แอคเน่ สปอต เจล เจลแต้มสิวเรตินอล ช่วยลดสิวผด สิวอุดตัน สิวเสี้ยน พร้อมผลัดผิวอย่างอ่อนโยน ลดการอุดตันของรูขุมขน ควบคุมความมัน
  • Salicylic Acid กรดธรรมชาติที่มีฤทธิ์ลดการอุดตัน สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ และมีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิวได้ดี รวมถึงช่วยลดการเกิดสิวได้ แต่การใช้ยาชนิดนี้จะได้ผลน้อยกว่าการใช้ยา Benzoyl Peroxide และ Retinoid ซึ่ง Salicylic Acid มักจะเป็นส่วนผสมอยู่ในยาแต้มสิว และสกินแคร์รักษาสิวหลายตัว เช่น 
  • CURA-MD คูร่า-เอ็มดี พรีไบโอติก แอนไท แอคเน่ เคลียร์ เจล ช่วยลดปัญหาผิวที่เป็นสาเหตุสิว ช่วยปลอบประโลมผิวจากการบวมแดง ช่วยดูแลความมันของผิวในร่องรูขุมขน ลดโอกาสการเกิดสิวซ้ำ 
  • Oxe Cure อ๊อกซี เคียว แอคเน่ เคลียร์ พาวเดอร์ โลชั่น แป้งน้ำชมพูแต้มสิว ช่วยลดการสะสมของแบคทีเรีย ผลัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพ ให้รอยแดงดูจางลง ทำให้สิวแห้งและยุบเร็ว
  • Sulfur ตัวยาที่มักถูกผสมเข้ากับสารตัวอื่นที่ช่วยในการรักษาสิว มาพร้อมคุณสมบัติดูดซับความมันและสิ่งสกปรกได้เป็นอย่างดี เลยมักจะถูกนำมาใช้ในการรักษาสิว เพื่อดูดซับไขมัน และสิ่งสกปรกที่อุดตันภายในรูขุมขนออกไปได้
  • Doxycycline / Erythromycin ยาปฏิชีวนะที่สามารถลดปริมาณของแบคทีเรีย ที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวบนผิวหนังได้ แต่แนะนำว่าไม่ควรใช้ยาทั้งสองชนิดนี้ติดต่อกันมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการดื้อยา และเป็นการฆ่าเชื้อแบคทีเรียดีในลำไส้ได้ด้วย 
  • Isotretinoin ตัวช่วยควบคุมความมัน ลดการอักเสบของรูขุมขน และต้านเชื้อแบคทีเรีย มักจะใช้กับคนที่มีปัญหาสิวอักเสบรุนแรง โดยจากผลสำรวจประมาณ 85% ของผู้ที่ใช้ยานี้ พบว่ามีสิวลดลง และการใช้ยาควรนี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น เนื่องจากอาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรงในการรักษาขึ้นได้
  • ยาคุมกำเนิด ยาที่มีผลกับระดับฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งส่วนใหญ่มักจะนิยมใช้รักษาสิวในเพศหญิง เพราะยาคุมมีฤทธิ์ช่วยลดปริมาณ Androgen, Free Testosterone และออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเพศชาย ที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวได้ แต่ก็ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ทุกครั้งด้วย

2.การฉีดยารักษาสิวที่หลัง

สำหรับการรักษาด้วยการฉีดยารักษาสิวที่หลัง ส่วนใหญ่จะใช้รักษากับสิวอุดตัน และสิวที่มีขนาดใหญ่ โดยจะใช้ยาที่มีความเข้มข้นสูง สารที่ใช้ส่วนใหญ่จะมีส่วนช่วยลดการอักเสบของสิวและลดการอุดตันของเม็ดสิว แต่การฉีดยารักษาสิวที่หลังก็อาจจะทำให้เกิดการแพ้ยา หรือเกิดการอักเสบขึ้นมาได้ด้วย ดังนั้นจึงควรพบแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสมและแนะนำวิธีการรักษาสิวที่หลังที่ถูกต้อง

3.การใช้เลเซอร์รักษาสิว และลดรอยสิวที่หลัง

การรักษาสิวที่หลังด้วยการใช้เลเซอร์ เป็นหนึ่งในวิธีรักษาที่เห็นผลได้ไว และสามารถแก้ปัญหาสิวอุดตันได้ดีด้วย โดยวิธีรักษาจะทำคล้ายการใช้เข็มเจาะแต่ใช้พลังงานแสงในการเจาะแทน เน้นจุดที่เป็นสิวอุดตัน ซึ่งการรักษาด้วยเลเซอร์ก็จะมีผลข้างเคียงอยู่บ้าง เช่น อาจทำให้ผิวบางลง และไวต่อแสง จึงควรทำเลเซอร์ในการดูแลของแพทย์ผิวหนังโดยเฉพาะ

4.การฉีดเมโสที่หลัง (Mesotheraphy)

การฉีดเมโสที่หลัง (Mesotheraphy) เป็นกระบวนการที่ใช้สารสกัดจากพืชและวิตามินต่าง ๆ เข้าสู่ผิวหนังผ่านทางการฉีดเข้าไปในชั้นผิวหนัง เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ลดผด ผื่น ลดการทำงานของต่อมไขมัน และทำให้ผิวหนังดูกระจ่างใสยิ่งขึ้น แต่ก็ควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัยในการรักษา

5.เปลี่ยนเสื้อผ้า หลังมีเหงื่อออกหรือสิ่งสกปรก

สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวที่หลัง ก็คือการสวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่ระบายเหงื่อ รวมไปถึงต่อมไขมันในร่างกายผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป และไม่ทำความสะอาดสิ่งสกปรกบนเสื้อผ้าที่สวมใส่ เพราะเหงื่อในร่างกายเราประกอบไปด้วยเกลือ แร่ธาตุ และแบคทีเรีย ซึ่งสามารถอุดตันรูขุมขน ทำให้เกิดสิวที่หลัง ผื่นคัน และกลิ่นตัวขึ้นได้ จึงควรเปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อมีเหงื่อออกมาก 

6.ทำความสะอาดผิวที่หลังด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว

ผิวที่หลังมีต่อมไขมันและรูขุมขนมาก รวมไปถึงเมื่อมีเหงื่อออกมากบริเวณหลัง อาจเป็นแหล่งรวมของสิ่งสกปรกบริเวณหลัง เป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดสิวที่หลังขึ้นได้ จึงควรทำความสะอาดผิวที่หลังโดยการขจัดสิ่งสกปรก น้ำมัน และแบคทีเรียออกจากผิว และควรเลือกสบู่หรือครีมอาบน้ำที่มีส่วนผสมที่อ่อนโยน เพื่อไม่ให้ทำร้ายผิวจนเกิดเป็นสิวที่หลังได้

สิวที่หลัง

การป้องกันอย่างไรไม่ให้เกิดเป็นสิวที่หลังอีก?

ปรับเปลี่ยนวิธีการรับประทานอาหาร

การทานอาหารบางอย่างอาจเป็นการกระตุ้นให้เกิดสิวที่หลังขึ้นได้ เช่น อาหารที่มีไขมันสูง หรืออาหารหวานจัด มีส่วนกระตุ้นให้ต่อมไขมันในร่างกายผลิตน้ำมันออกมาในปริมาณมากเกินไป มีส่วนทำให้เกิดสิวที่หลังขึ้นได้ด้วย จึงควรเลี่ยงการกินของทอด ของมัน อาหารไขมันสูง และของหวานจัดลงไปก่อน

เลือกเสื้อผ้าที่ระบายอากาศดี

การสวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่ระบายเหงื่อ รวมไปถึงต่อมไขมันในร่างกายผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป และไม่ทำความสะอาดสิ่งสกปรกบนเสื้อผ้าที่สวมใส่ เป็นปัจจัยหนึ่งที่อาจทำให้เกิดสิวที่หลังได้ หลังจากออกกำลังกาย หรือเมื่อเหงื่อออกเยอะมาก ๆ ควรรีบอาบน้ำ เพื่อลดการหมักหมมของแบคทีเรีย และเลือกใช้เสื้อผ้าที่สามารถระบายอากาศได้ดี เพื่อลดความอับชื่นจากเหงื่อในระหว่างวัน

มาสก์ผิวจากส่วนผสมธรรมชาติ

สิวที่หลังบางครั้งอาจเกิดมาจากการอุดตันของผิวด้านหลัง เนื่องจากเป็นบริเวณที่ดูแลให้ทั่วถึงค่อนข้างยาก ทำให้เกิดการสะสมของเซลล์ผิว รวมไปถึงสิ่งสกปรกอุดตันต่าง ๆ จนเกิดสิวที่หลังขึ้นได้ วิธีหนึ่งในการผลัดเซลล์ผิว ทำความสะอาดรูขุมขนที่หลัง ก็คือการมาสก์ผิวจากส่วนผสมธรรมชาติ การโกน หรือแว็กซ์ขนหลัง เพื่อลดการอุดตันของผิวลงไป

ใช้โทนเนอร์เช็ดหลังอาบน้ำ

โทนเนอร์ เป็นตัวช่วยปรับสภาพผิวหน้าให้ผิวมีความสมดุล รูขุมขนกระชับ และขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วหรือคราบเครื่องสำอางที่ตกค้างอยู่บนผิวหน้าให้ออกไป ลองใช้โทนเนอร์เช็ดหลังอาบน้ำ บริเวณที่เป็นสิวที่หลัง ร่วมกับใช้ยารักษาสิวที่หลังชนิดทา โดยแต้มในบริเวณหัวสิวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาสิวที่หลังให้ลดลง

การใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับรักษาสิวที่หลัง

การใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับรักษาสิวที่หลัง เช่น แป้งน้ำ มีลักษณะเป็นแป้งน้ำขาวขุ่น คุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิว สามารถช่วยในเรื่องลดการอักเสบได้ เป็นอีกหนึ่งไอเทมรักษาสิวที่หลังที่ค่อนข้างปลอดภัย และใช้ได้ต่อเนื่องเพื่อให้สิวที่หลังแห้งและหลุดไปเอง

เลี่ยงการใช้ยาบางชนิด

การใช้ยาบางชนิดอาจทำให้เกิดการระคายเคือง และทำให้ฮอร์โมนเพศชายเพิ่มขึ้น เช่น Androgens ที่เป็นฮอร์โมนซึ่งอาจทำให้เกิดสิว สำหรับใครที่กำลังรับประทานยาประเภทนี้อยู่ในช่วงรักษาสิวที่หลัง แนะนำให้ควรงดการใช้ยานี้ไปก่อน

การสัมผัสบริเวณที่เป็นสิว

การบีบ แกะ แคะ และกดสิวที่หลังด้วยตัวเอง จะเป็นการกระตุ้นสิวอาจจะทำให้สิวที่หลังเกิดการอักเสบ และเป็นหนักมากกว่าเดิม เมื่อเป็นสิวที่หลังจึงไม่ควรสัมผัสบริเวณที่เป็นสิว รวมไปถึงควรทำความสะอาดผิวที่หลังให้สะอาดหมดจด ด้วยสบู่หรือครีมอาบน้ำที่มีความอ่อนโยน ไม่อุดตัน

การสวมเสื้อผ้าที่ไม่รัดจนเกินไป

สำหรับคนที่ออกกำลังกาย หรือให้คนที่มีเหงื่อออกเยอะ แนะนำให้สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี ไม่รัดแน่นจนเกินไป เพื่อให้อากาศถ่ายเทสะดวกและลดการเสียดสี และควรทำความสะอาดร่างกายโดยเร็ว หลังจากออกกำลังกาย หรือหลังจากเหงื่อออกมาก เพื่อลดการสะสมของสิ่งสกปรกบริเวณผิวหนัง

การรักษาความสะอาด

ผ้าปูและปลอกหมอน ถือเป็นแหล่งรวมของฝุ่นละออง เหงื่อ และสิ่งสกปรก เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวที่หลังขึ้นได้ จึงควรทำความสะอาดสิ่งของเครื่องใช้ที่มักจะสัมผัสกับผิวหรือหลังเป็นประจำ เพื่อทำความสะอาดสิ่งสกปรกต่าง ๆ ที่อาจเกิดการอุดตันจนเกิดการสะสมบนผิวกายได้

สิวที่หลัง และรอยสิวที่หลังสามารถรักษาด้วยตัวเองได้

ควรพบแพทย์เมื่อไร?

สำหรับสิวที่หลังสามารถรักษาด้วยตัวเองได้ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสม แต่ถ้าหากรักษาในหลายวิธีแล้ว ยังกลับมาเป็นซ้ำหรืออาการของสิวที่หลังเป็นหนักขึ้น เช่น มีอาการสิวอักเสบรุนแรง มีอาการปวด บวม แดง ร้อน มีหนอง มีตุ่มสิวที่หลังขนาดใหญ่ มีอาการคันมาก หรือมีผื่นแดง ลอก เป็นขุย เกิดแผลเป็น หรือรอยดำ รอยแดง ที่รักษาเองไม่ได้ ฯลฯ อาจเป็นสัญญาณว่าสิวที่หลังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น ฮอร์โมน พันธุกรรม หรือโรคผิวหนัง แนะนำให้ลองไปพบแพทย์ เพื่อปรึกษาและรับการรักษาตามอาการต่อไป

ทำความเข้าใจกับเจ้า “สิวที่หลัง” มาแล้ว พอจะรู้แล้วว่าสิวที่หลังที่สาเหตุเกิดมาจากอะไรได้บ้าง ซึ่งการป้องกันการเกิดสิวที่หลัง ก็สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม รวมไปถึงเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยน ไม่อุตัน เหมาะกับสภาพผิวและปัญหาสิว ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีรักษาสิวที่หลังให้ลดลง และไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก

คำถามที่พบบ่อย?

สิวที่หลัง สามารถกดหรือบีบได้ไหม?

สำหรับสิวที่หลังสามารถกดได้ แต่ควรศึกษาการกดสิวที่ถูกต้องและปลอดภัยก่อนตัดสินใจกด และไม่แนะนำให้กดเองเพราะอยู่ในมุมที่กดได้ยาก อาจจะทำให้สิวที่หลังเกิดการอักเสบที่รุนแรงขึ้น และเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เป็นรอยหลุมสิว หรือเป็นแผลเป็นขึ้นได้

 รักษาสิวที่หลังกี่วันหาย?

ระยะเวลาในการรักษาสิวที่หลังขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสิว รวมไปถึงขึ้นอยู่กับวิธีรักษาด้วย ซึ่งปกติแล้วการรักษาสิวที่หลังจะใช้เวลาประมาณ 4-8 สัปดาห์ ส่วนในกรณีที่สิวที่หลัง เป็นสิวอุดตัน หรือสิวหัวช้างรุนแรงอาจต้องรักษาต่อเนื่องนานเป็นปี

รอยดำ รอยสิวที่หลัง รักษาได้ไหม?

ใครที่กังวลว่ารอยดำ และรอยสิวที่หลัง จะรักษาได้ไหม คำตอบคือสามารถรักษารอยดำ และรอยสิวที่หลังให้หายได้ แต่ระยะเวลาในการรักษารอยดำ และรอยสิวที่หลังก็จะขึ้นอยู่กับวิธีการรักษาด้วย สำหรับรอยดำ รอยสิวที่เล็กน้อย และไม่ลึกเกินไปในผิวหนัง อาจจะใช้เวลาตั้งแต่หนึ่งสัปดาห์หรือเป็นเดือน ขึ้นอยู่กับความเสียหายของผิวหนัง และการฟื้นฟูสภาพผิวหนังของแต่ละคนด้วย จึงควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม

 ทำยังไงให้สิวที่หลังหาย?

 สิวที่หลังสามารถรักษาให้หายขาดได้ ด้วยการรักษาอย่างถูกวิธีโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งรวมถึงการใช้ยาเฉพาะที่ เลเซอร์ หรือการทำหัตถการทางการแพทย์อื่น ๆ แต่การรักษาสิวที่หลังให้หายขาดนั้นต้องอาศัยความสม่ำเสมอในการดูแลผิว และควรรักษาควบคู่ไปกับการปรับพฤติกรรม

เป็นสิวที่หลัง บ่งบอกถึงโรคอะไรได้บ้าง?

 การเกิดสิวที่หลังโดยทั่วไปไม่ได้เป็นสัญญาณของโรคที่เฉพาะเจาะจง แต่เกิดจากปัจจัยหลัก ๆ เช่น ฮอร์โมนไม่สมดุล (ในวัยรุ่น, ช่วงมีประจำเดือน), การติดเชื้อแบคทีเรีย (จากเหงื่อ, สกปรก), รูขุมขนอุดตัน (จากน้ำมันส่วนเกิน, ความอับชื้น), ความเครียด, พันธุกรรม, การเสียดสี, และ แพ้ผลิตภัณฑ์บางชนิด เป็นต้น

ข้อมูลอ้างอิง

https://www.pobpad.com/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84

https://www.eucerin.co.th/about-skin/derms-articles/acne-on-back?srsltid=AfmBOopLQ64vhmEkhJ4SHKuEF29DJ5tG9KpYmHliZogQVZDvJuM7nT7H

https://skinx.app/content/acne/back-acne


คลิกอ่านคอนเท้นอื่นๆที่น่าสนใจ

Previous

แบรนด์เมกอัปพี่สาวจีนตัวดัง JUDYDOLL เข้าไทยแล้ว

Next

รวม 15 ไอเดียแต่งหน้ารับปริญญา หน้าเป๊ะ ปัง ถ่ายรูปสวยขึ้นกล้อง

Related Topics
Share
WHAT’S HOT
  1. 10 ร้านเสื้อผ้าในไอจีราคาถูก หลักร้อย ไม่ตกเทรนด์
  2. 12 สกินแคร์จาก CICA ส่วนผสมช่วยลดสิว ผิวระคายเคือง
  3. 10 สถานที่ขอพรเรื่องความรัก ช่วยคนโสดไม่ให้นก
  4. 15 ครีมบำรุงผิวขาว และครีมทาผิวขาวยี่ห้อไหนดี 2025
  5. แต่งหน้าเป๊ะปังด้วยเมคอัพ ชิ้นที่สอง1บาท
  6. รังแค สัญญาณ ที่บอกว่าหนังศีรษะของคุณต้องได้รับการดูแล จริงจัง
  7. มัดรวม 3 ไอเดีย ทรงผมเวนดี้ ทรงผมสั้นสไลด์เลเยอร์ เปลี่ยนลุกให้คูลแอนด์คิวท์
  8. 10 สเปรย์ล็อคผม 2025 ล็อคผมแน่น จะทรงไหนก็เอาอยู่
  9. 10 มีดโกนผู้หญิงยี่ห้อไหนดี โกนได้ทุกส่วน ไม่บาดผิว
  10. 5 สัญญาณเตือน อาการแพ้ลิปสติก
  11. เปิดตัวน้องใหม่ Hada Labo+ จากบ้าน Hada Labo ไอเท็มเด็ดฟื้นผิวให้ Perfect หลังทุกหัตการ
*/?>