โหลดแอปฯ
ดาวน์โหลด:
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอปวัตสัน
  • google-play.png
  • app-store.png
  • app-gallery.png
ค้นหาร้านค้า บทความน่าอ่าน
Watsons Services
0
ตะกร้า
Share

การรับประทานยาอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญต่อประสิทธิภาพในการรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องรับประทานยาร่วมกับอาหารหรือยาชนิดอื่น บทความนี้จะแนะนำคู่ยา และอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานพร้อมกัน โดยเน้นที่ยาพาราเซตามอล ซึ่งเป็นยาสามัญประจำบ้านที่มีการใช้บ่อย มาดูกันเลยว่ายาพาราห้ามกินกับอะไรบ้าง

ยาพาราห้ามกินกับอะไรบ้าง?

1. ยาพาราเซตามอลห้ามกินกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

พาราห้ามกินกับอะไร อันดับแรกที่น่าจำมากที่สุด คือการดื่มแอลกอฮอล์พร้อมกับการรับประทานยาพาราเซตามอล อาจทำให้เกิดพิษต่อตับอย่างรุนแรง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดตับอักเสบเฉียบพลัน และยังอาจนำไปสู่ภาวะตับวาย ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

แอลกอฮอล์ และพาราเซตามอลต่างถูกย่อยสลายที่ตับ โดยเอนไซม์หลายชนิด หนึ่งในนั้นคือ CYP2E1 ซึ่งทำหน้าที่ช่วยเปลี่ยนสารแปลกปลอมให้ร่างกายสามารถกำจัดออกได้ง่ายขึ้น เมื่อแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกาย จะถูกเปลี่ยนโดยเอนไซม์ CYP2E1 เป็นสารพิษชื่อ acetaldehyde ซึ่งจะถูกกำจัดต่อไป ส่วนพาราเซตามอล เมื่อรับประทานในขนาดที่เหมาะสม ส่วนใหญ่จะถูกเปลี่ยนเป็นสารที่ปลอดภัย แต่ส่วนน้อย (~5-10%) จะถูกเปลี่ยนโดยเอนไซม์ CYP2E1 ให้กลายเป็น NAPQI ซึ่งเป็นสารพิษที่สามารถทำลายเซลล์ตับได้ เมื่อทั้งสองกระบวนการเกิดขึ้นพร้อมกัน ตับจะต้องทำงานหนักเป็นพิเศษในการกำจัดสารพิษทั้งสอง

การทำงานพร้อมกันเพิ่มความเสี่ยงต่อการทำลายเซลล์ตับ การดื่มแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่องจะทำให้ร่างกายผลิตเอนไซม์ CYP2E1 มากขึ้น ส่งผลให้เมื่อรับประทานพาราเซตามอล ตัวยาก็จะถูกเปลี่ยนเป็นสารพิษ NAPQI มากขึ้นด้วย สารพิษนี้จะจับกับโปรตีนในเซลล์ตับ และทำลายเซลล์ตับโดยตรง ยิ่งมีการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ความเสี่ยงนี้จะยิ่งสูงขึ้น แม้จะใช้พาราเซตามอลในขนาดปกติก็ตาม

ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 24 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้นระหว่างการดื่มแอลกอฮอล์ และการรับประทานยาพาราเซตามอล เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ขณะรับประทานยาพาราเซตามอล หากจำเป็นต้องดื่ม ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 24 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น เพื่อให้ร่างกายมีเวลาขับแอลกอฮอล์ออกจากระบบอย่างสมบูรณ์ สำหรับผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้พาราเซตามอล

2. ยาพาราห้ามกินกับยาอะไรบ้าง?  

นอกจากยาพาราจะห้ามกินกับอาหารหรือเครื่องดื่มบางชนิดแล้ว ยังมีเรื่องที่ควรรู้อย่างยาพาราห้ามกินกับยาอะไรอีกด้วย เช่น ยาบรรเทาอาการหวัดหลายชนิดมีส่วนผสมของพาราเซตามอล การรับประทานร่วมกัน อาจทำให้ได้รับยาเกินขนาด ปัญหานี้เกิดขึ้นบ่อยเพราะผู้ป่วยมักไม่อ่านฉลากยาอย่างละเอียด หรือไม่ทราบว่ายาหลายชนิดในบ้านมีส่วนผสมเดียวกัน 

การได้รับพาราเซตามอลเกินขนาดอาจทำให้เกิดพิษต่อตับได้ แม้จะไม่ดื่มแอลกอฮอล์ก็ตาม ขนาดสูงสุดที่ปลอดภัยสำหรับผู้ใหญ่คือไม่เกิน 4,000 มิลลิกรัมต่อวัน และไม่ควรทานติดต่อกันเกิน 5 วัน 

ยาบรรเทาอาการหวัดสูตรผสม ยาบรรเทาอาการหวัดส่วนใหญ่จะมีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบหลักในการลดไข้ และแก้บรรเทาอาการปวด มักจะมีขนาด 325-650 มิลลิกรัม ต่อเม็ด หากรับประทานยาบรรเทาอาการหวัดพร้อมกับพาราเซตามอลเพิ่มเติม อาจได้รับยาเกินขนาดโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นควรตรวจสอบฉลากยาทุกครั้ง และนับรวมปริมาณพาราเซตามอลทั้งหมดที่ได้รับ

ยาลดไข้ ยาลดไข้สำหรับเด็ก หรือผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่ในประเทศไทยมีพาราเซตามอลเป็นองค์ประกอบหลัก บางครั้งอาจมีชื่อการค้าที่แตกต่างกัน ทำให้ผู้ป่วยคิดว่าเป็นยาคนละชนิด การใช้ยาลดไข้หลายยี่ห้อพร้อมกันจึงเสี่ยงต่อการได้รับพาราเซตามอลเกินขนาด ควรใช้ยาลดไข้เพียงชนิดเดียวในแต่ละครั้ง

ยาบรรเทาอาการปวดสูตรผสม หรือยาคลายกล้ามเนื้อมีพาราเซตามอลรวมอยู่ด้วย การใช้ยาเหล่านี้ร่วมกับพาราเซตามอลธรรมดาจะทำให้ได้รับยาเกินขนาด ผู้ป่วยควรเลือกใช้ยาบรรเทาอาการปวดเพียงชนิดเดียว หรือปรึกษาเภสัชกรก่อนใช้ยา

3. อาหาร และเครื่องดื่มที่ควรระวังเมื่อทานยาพาราเซตามอล

แม้ว่าพาราเซตามอลจะเป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่การบริโภคอาหาร และเครื่องดื่มบางชนิดพร้อมกันอาจส่งผลต่อการดูดซึมหรือการออกฤทธิ์ของยา นอกจากนี้ยังอาจเพิ่มภาระให้กับตับในการขับยาออกจากร่างกาย การเข้าใจถึงอาหารที่ควรระวังจะช่วยให้การใช้ยามีประสิทธิภาพ และปลอดภัยมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับอยู่แล้ว

ยาพาราห้ามกินกับเครื่องดื่มอะไร? อย่างแรกคือเครื่องดื่มคาเฟอีนปริมาณมาก การดื่มกาแฟ ชา หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูงพร้อมกับพาราเซตามอลอาจเพิ่มการดูดซึมของยา และทำให้ระดับยาในเลือดสูงขึ้นชั่วคราว ซึ่งโดยทั่วไปไม่เป็นอันตรายในคนสุขภาพดี แต่หากบริโภคคาเฟอีนในปริมาณมาก อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงเช่น ความวิตกกังวลหรือนอนไม่หลับโดยเฉพาะเมื่อรับประทานพาราเซตามอลร่วมด้วย จึงควรรับประทานเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในปริมาณพอเหมาะ และหลีกเลี่ยงการบริโภคคาเฟอีนมากเกินไปในช่วงที่ใช้ยาพาราเซตามอล เพื่อความปลอดภัย

อย่างต่อมา คืออาหารที่มีไขมันสูง การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงพร้อมกับพาราเซตามอลอาจชะลอการดูดซึมของยา เนื่องจากไขมันทำให้การเคลื่อนตัวของอาหารในกระเพาะช้าลง ส่งผลให้ยาออกฤทธิ์ช้าลง อย่างไรก็ตาม ผลกระทบนี้มักไม่รุนแรงในผู้ที่มีสุขภาพปกติ แต่หากรับประทานพาราเซตามอลเป็นประจำ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับตับอยู่เดิม ควรระมัดระวังเรื่องอาหารไขมันสูง เนื่องจากอาหารที่มีไขมันสูงยังเพิ่มภาระให้กับตับในการย่อยไขมัน ซึ่งอาจส่งผลต่อการขับยาออกจากร่างกาย

อย่างสุดท้ายคือห้ามทานคู่กับสมุนไพรบางชนิดที่มีผลต่อการทำงานของตับ เช่น เซนต์จอห์นเวิร์ท, กิงโกะ, หรือยาจีนบางชนิดอาจมีผลต่อเอนไซม์ที่ตับใช้ในการย่อยสลายพาราเซตามอล การใช้สมุนไพรเหล่านี้พร้อมกับพาราเซตามอลอาจเปลี่ยนแปลงการออกฤทธิ์ หรือการขับยาออกจากร่างกาย จึงควรแจ้งแพทย์ หรือเภสัชกรเกี่ยวกับการใช้สมุนไพรทุกชนิดก่อนใช้พาราเซตามอล

ยาพาราเซตามอลกินตอนไหน? กินอย่างไรให้ปลอดภัย?

กินยาพาราตามน้ำหนักตัว

การใช้พาราเซตามอลอย่างปลอดภัยต้องอาศัยการคำนวณขนาดยาที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงน้ำหนักตัว อายุ และภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคล การรับประทานยาเกินขนาด แม้เพียงเล็กน้อย อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อพิษต่อตับได้ ในขณะที่การใช้ยาในขนาดที่ต่ำเกินไปอาจไม่สามารถบรรเทาอาการปวด หรือไข้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเข้าใจหลักการใช้ยาจึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะในผู้ที่ต้องใช้ยานี้ซ้ำหลายครั้ง หรือใช้ต่อเนื่องหลายวัน

การกินยาพาราสำหรับผู้ใหญ่ : ขนาดปกติคือ 10-15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม ต่อครั้ง หรือ 500-1000 มิลลิกรัมต่อครั้ง สามารถรับประทานได้ทุก 4-6 ชั่วโมง แต่ไม่ควรเกิน 4000 มิลลิกรัมต่อวัน ผู้ที่มีน้ำหนักมากกว่า 80 กิโลกรัมสามารถใช้ขนาด 1000 มิลลิกรัมต่อครั้งได้ แต่ยังต้องไม่เกินปริมาณรวมต่อวันที่กำหนดไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อตับ

การกินยาพาราสำหรับเด็ก : ใช้ขนาด 10-15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม ต่อครั้ง สามารถให้ทุก 4-6 ชั่วโมง ไม่เกิน 5 ครั้งต่อวัน และไม่ควรใช้เกินขนาดรวมที่แนะนำสำหรับน้ำหนักของเด็กแต่ละคน โดยเฉพาะในทารกอายุไม่เกิน 3 เดือน ควรใช้ยาภายใต้คำแนะนำของแพทย์ หรือเภสัชกรเท่านั้น เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัย และการควบคุมอาการอย่างเหมาะสม

ยาแบบไหนอีกบ้างที่ไม่ควรทานพร้อมกับอาหาร เครื่องดื่ม หรือยาชนิดอื่น?


1. ยาปฏิชีวนะกับผลิตภัณฑ์นม

การใช้ยาปฏิชีวนะบางกลุ่มพร้อมกับผลิตภัณฑ์นมเป็นปัญหาที่พบบ่อย โดยเฉพาะในเด็กที่ต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ และดื่มนมเป็นประจำ แคลเซียม และแมกนีเซียมในผลิตภัณฑ์นมสามารถจับกับยาปฏิชีวนะกลุ่ม tetracycline และ fluoroquinolone ทำให้ยาถูกดูดซึมได้น้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ ผลที่ตามมาคือการรักษาอาจไม่ได้ผลตามที่ต้องการ และหากเกิดซ้ำบ่อยครั้งอาจนำไปสู่ปัญหาการดื้อยาปฏิชีวนะได้

ควรเว้นระยะการรับประทานยาปฏิชีวนะอย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนหรือหลังดื่มนมหรือผลิตภัณฑ์นม ในกรณีของเด็กเล็กที่ต้องดื่มนมเป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางเลือกในการให้ยาที่เหมาะสม เช่น การเปลี่ยนเป็นยาปฏิชีวนะชนิดอื่นที่ไม่มีปัญหานี้

2. ยาโรคประจำตัวกับผลไม้ตระกูลส้ม

ผลไม้ตระกูลส้ม เช่น เกรปฟรุต (grapefruit), ส้มโอ, มะกรูด อาจส่งผลต่อการดูดซึม และการออกฤทธิ์ของยาหลายชนิด เนื่องจากมีสารธรรมชาติในกลุ่ม furanocoumarins ซึ่งสามารถยับยั้งเอนไซม์ CYP3A4 ในลำไส้ เอนไซม์นี้มีบทบาทสำคัญในการย่อยสลายยาหลายประเภทก่อนเข้าสู่กระแสเลือด เมื่อตัวยาไม่ถูกย่อยสลายตามปกติ จะทำให้ระดับยาในเลือดสูงกว่าที่ควร ส่งผลให้เกิด ผลข้างเคียงรุนแรง หรือยาออกฤทธิ์แรงเกินไป

ตัวอย่างยาที่ได้รับผลกระทบจากน้ำเกรปฟรุต และผลไม้ในกลุ่มเดียวกัน ได้แก่ ยาลดความดันโลหิต กลุ่ม calcium channel blockers เช่น amlodipine, nifedipine, felodipine ยาลดไขมันในเลือด กลุ่ม statins เช่น simvastatin, atorvastatin, lovastatin ยาต้านภูมิแพ้บางชนิด เช่น fexofenadine ยากล่อมประสาท หรือยาจิตเวชบางตัว เช่น buspirone ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น cyclosporine, tacrolimus

การดื่มน้ำเกรปฟรุตปริมาณเพียงหนึ่งแก้ว (ประมาณ 250 มิลลิลิตร) อาจเพิ่มระดับยาในเลือดได้หลายเท่า เช่น ยาลดความดันบางตัวอาจมีระดับในเลือดสูงขึ้นถึง 3–5 เท่า ส่งผลให้เกิดอาการ เช่น เวียนศีรษะ หน้ามืด ใจเต้นช้า หรือแม้แต่หมดสติได้

แม้ผลไม้ตระกูลส้มชนิดอื่น เช่น ส้มโอหรือมะกรูด จะมีผลกระทบต่อเอนไซม์ CYP3A4 น้อยกว่าเกรปฟรุต แต่ในบางกรณีก็อาจเกิดอันตรกิริยาได้เช่นกัน จึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานผลไม้หรือดื่มน้ำผลไม้เหล่านี้หากใช้ยากลุ่มเสี่ยง หรือ ปรึกษาเภสัชกร หรือแพทย์ทุกครั้งก่อนรับประทานยา โดยเฉพาะถ้าใช้ยาเป็นประจำ

3. ยาที่มีพิษต่อไต

กลุ่มยาที่อาจมีพิษต่อไตรวมถึงยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ibuprofen และ diclofenac ยาปฏิชีวนะบางชนิด และยาเคมีบำบัด

การใช้ยาเหล่านี้ร่วมกับอาหาร หรือยาอื่นที่อาจส่งผลต่อไตจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดไตวาย ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการขาดน้ำ จำกัดการบริโภคเกลือ และระวังการใช้ยาสมุนไพรที่อาจมีผลต่อไต เช่น ยาสมุนไพรที่มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ หากจำเป็นต้องใช้ยาเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ทุกครั้ง โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคไต หรือความเสี่ยงต่อโรคไตและต้องมีการติดตามการทำงานของไตอย่างสม่ำเสมอ

4. ยาต้านวัณโรค

ยาต้านวัณโรคเป็นกลุ่มยาที่มีปฏิกิริยากับอาหาร และยาอื่นได้หลากหลาย โดยเฉพาะ rifampin ซึ่งเป็นตัวเร่งเอนไซม์ตับที่แรง สามารถเพิ่มการกำจัดยาอื่นๆ ได้มาก ทำให้ยาอื่นออกฤทธิ์น้อยลง เช่น ยาคุมกำเนิด ยาต้านการแข็งตัวของเลือด และยาต้านชัก นอกจากนี้ยาต้านวัณโรคยังไม่ควรรับประทานพร้อมกับอาหารเพราะจะลดการดูดซึมยา ผู้ป่วยวัณโรคจึงต้องใช้ยาอย่างระมัดระวังและอาจต้องปรับขนาดยาอื่น ๆ ที่ใช้ร่วมด้วย การติดตาม และปรึกษาแพทย์อย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งจำเป็น

5. ยากันชัก กับยา แอลกอฮอล์ และอาหารบางชนิด

ยากันชักหลายชนิดมีปฏิกิริยากับอาหาร และยาอื่นได้เช่น phenytoin และ carbamazepine ซึ่งเป็นตัวเร่งเอนไซม์ตับ (enzyme inducer) ทำให้ยาอื่นๆ ถูกย่อยสลายเร็วขึ้น ส่งผลให้ระดับยาในเลือดลดลง และออกฤทธิ์ได้น้อยลง ในทางตรงกันข้าม valproic acid อาจเพิ่มระดับยาอื่นในเลือดจนเกิดผลข้างเคียงได้ การดื่มแอลกอฮอล์ยังสามารถลดประสิทธิภาพของยากันชัก และเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดอาการชัก อาหารที่มีไขมันสูงก็อาจเพิ่มการดูดซึมของยากันชักบางชนิดได้ ผู้ป่วยจึงควรรับประทานยาให้ตรงเวลาทุกวันหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และควรปรึกษาแพทย์ก่อนเปลี่ยนแปลงอาหาร ใช้ยาใหม่ หรือรับประทานอาหารเสริมหรือสมุนไพรใดๆ เพื่อช่วยควบคุมระดับยาในเลือดให้คงที่และปลอดภัย

6. ยาต้านการแข็งตัวของเลือด กับยา และอาหารบางชนิด

ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น warfarin เป็นยาที่มีปฏิกิริยากับอาหาร และยาอื่นได้มากกว่ายาหลายชนิด วิตามินเคในผักใบเขียวอาจจะลดประสิทธิภาพของ warfarin ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องงดผักเหล่านี้ เพียงแค่ควรกินในปริมาณที่ “สม่ำเสมอ” เพื่อให้ยาคงประสิทธิภาพได้อย่างเหมาะสม ยาปฏิชีวนะหลายชนิดสามารถเพิ่มฤทธิ์ของ warfarin ทำให้เลือดออกง่ายขึ้น เช่น เลือดออกตามไรฟัน หรือฟกช้ำโดยไม่มีสาเหตุ นอกจากนี้ สมุนไพรบางชนิด เช่น กิงโกะ กระเทียม และขิง และอาหารเสริมบางประเภท อาจเพิ่มความเสี่ยงของการเลือดออกหากใช้ร่วมกับ warfarin ผู้ใช้ยานี้จึงควรต้องตรวจเลือดเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และแจ้งแพทย์ทุกครั้งที่เริ่ม หรือหยุดยา อาหารเสริมหรือสมุนไพรชนิดใดก็ตาม เพื่อความปลอดภัยสูงสุดในการใช้ยาของคุณเอง

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับความรู้ที่วัตสันเอามาฝากกันในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ที่ว่าด้วยเรื่องยาพาราห้ามกินกับอะไร? หรือแม้แต่ยาประเภทอื่น ๆ ที่ก็มีอาหาร เครื่องดื่ม หรือยาประเภทอื่น ที่เป็นของแสลง และไม่ควรรับประทานพร้อมกัน เพราะอาจทำให้เกิดอันตราย หรือไปลดประสิทธิภาพของยาตัวหลักได้ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ให้ทุกคนสามารถเลือกรับประทานยาได้อย่างถูกต้อง และปลอดภัยมากยิ่งขึ้นนะคะ

ข้อมูลจาก  เภสัชกรหญิง ปุญณดา สัตยารมณ์ เลขใบประกอบ ภ.40036

สาขา สยามแสควร์ 

ปรึกษาเรื่องสุขภาพ และการใช้ยากับเภสัช

คลิกอ่านคอนเท้นอื่นๆที่น่าสนใจ

Previous

ประโยชน์ของโปรตีนทั้งจากพืชและสัตว์ที่หลายคนไม่เคยรู้

Next

ยาคุมฮอร์โมนเดี่ยว ข้อดี และข้อที่ควรรู้

Related Topics
Share
WHAT’S HOT
  1. 10 ร้านเสื้อผ้าในไอจีราคาถูก หลักร้อย ไม่ตกเทรนด์
  2. 12 สกินแคร์จาก CICA ส่วนผสมช่วยลดสิว ผิวระคายเคือง
  3. 10 สถานที่ขอพรเรื่องความรัก ช่วยคนโสดไม่ให้นก
  4. 15 ครีมบำรุงผิวขาว และครีมทาผิวขาวยี่ห้อไหนดี 2025
  5. แต่งหน้าเป๊ะปังด้วยเมคอัพ ชิ้นที่สอง1บาท
  6. สั่งผิวสวยด้วย “10 วิตามินบํารุงผิว” ยิ่งทาน ยิ่งปัง!
  7. มาสคาร่า ยี่ห้อไหนดี กันน้ำ ขนตางอนเด้งตลอดวัน
  8. รู้ช้าผิวอาจพัง ! เมื่อหน้าติดสารสเตียรอยด์จากสกินแคร์ที่ใช้
  9. ไอเดียแต่งตัวธีมคริสต์มาส ใส่ไปถ่ายรูปปัง ๆ ทำคอนเทนต์เริ่ด ๆ
  10. รวม 15 ไอเดียเล็บเจลคริสต์มาส 2025 สีเล็บเจลคริสมาสสุดคิ้วท์ กวางก็มี ซานต้าก็มา!
  11. 10 ดินสอเขียนคิ้วยี่ห้อไหนดี กันน้ำ กันเหงื่อ เขียนง่าย สวยเป๊ะตลอดทั้งวัน
*/?>