โหลดแอปฯ
ดาวน์โหลด:
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอปวัตสัน
  • google-play.png
  • app-store.png
  • app-gallery.png
ค้นหาร้านค้า บทความน่าอ่าน
Watsons Services
0
ตะกร้า
Share

ยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดไม่ได้มีเพียงเพื่อการคุมกำเนิดเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพ ฮอร์โมน และคุณภาพชีวิตในแต่ละวันอีกด้วย ซึ่งยาเม็ดคุมกำเนิดปรับฮอร์โมนเพศหญิงแต่ละประเภทมีคุณสมบัติและข้อควรระวังแตกต่างกันไป ดังนั้นการปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อเลือกยาเม็ดคุมกำเนิดปรับฮอร์โมนเพศหญิงให้เหมาะสมกับร่างกายและไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

ยาเม็ดคุมกำเนิด คืออะไร?

ยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นยาที่มีฮอร์โมนเพศหญิงเป็นส่วนประกอบหลัก ใช้เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ ยาแต่ละชนิดอาจมีฮอร์โมนที่แตกต่างกันไป ทั้งในประเภทและปริมาณ จึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อเลือกยาเม็ดคุมกำเนิดปรับฮอร์โมนเพศหญิงให้เหมาะกับร่างกายและความต้องการของแต่ละคน

ประเภทของยาเม็ดคุมกำเนิดมีอะไรบ้าง?

ยาเม็ดคุมกำเนิดปรับฮอร์โมนสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวม และ ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนเดี่ยว โดยสามารถแยกเป็นแบบรายวัน (กินทุกวัน) และแบบฉุกเฉิน (กินเมื่อมีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์)

ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมดีอย่างไร?

มีทั้งเอสโตรเจนและโปรเจสติน

ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสติน ซึ่งทำงานร่วมกันในการป้องกันการตั้งครรภ์ โดยยับยั้งการตกไข่ เปลี่ยนแปลงเยื่อบุโพรงมดลูกให้ไม่เหมาะต่อการฝังตัวของไข่ที่ถูกผสมแล้ว และทำให้เมือกที่ปากมดลูกเหนียวขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้อสุจิเข้าสู่โพรงมดลูกได้ง่าย ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดนี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์สูงกว่า 95% เมื่อใช้อย่างถูกต้อง เหมาะกับผู้หญิงที่ไม่มีประวัติความเสี่ยงด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น ไม่มีความดันโลหิตสูง ไม่สูบบุหรี่ และมีสุขภาพทั่วไปแข็งแรง

ปรับสมดุลฮอร์โมนและทำให้รอบเดือนมาสม่ำเสมอ

ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม สามารถใช้ได้ในผู้ที่มีภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล เช่น ผู้ที่มีประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือมีอาการปวดประจำเดือน อย่างไรก็ตาม หากมีปัญหาประจำเดือนมาไม่ปกติหรือมีอาการปวดประจำเดือนรุนแรงควรไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่ถูกต้องก่อน ถ้ามาจากความผิดปกติของฮอร์โมนในร่างกายบางกรณีแพทย์อาจพิจารณาใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดร่วมในแผนการดูแล

อาจช่วยลดสิวในบางกรณี

ยาเม็ดคุมกำเนิดบางสูตรอาจมีผลช่วยลดสิวในผู้หญิงบางราย หากใช้ภายใต้การดูแลจากแพทย์หรือเภสัชกร โดยสามารถช่วยลดการผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว จึงอาจช่วยให้สภาพผิวดีขึ้นในบางราย

ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดโปรเจสตินเดี่ยวดีอย่างไร?

มีเฉพาะฮอร์โมนโปรเจสติน

ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดโปรเจสตินเดี่ยว หรือที่เรียกว่า “ยาเม็ดคุมกำเนิดฮอร์โมนเดี่ยว” มีส่วนประกอบเฉพาะฮอร์โมนโปรเจสติน ออกฤทธิ์โดยการทำให้มูกบริเวณปากมดลูกข้นขึ้น ซึ่งช่วยขัดขวางการเคลื่อนที่ของอสุจิ และยับยั้งการตกไข่ในบางกรณี แม้ประสิทธิภาพโดยรวมจะต่ำกว่ายาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมเล็กน้อย ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดนี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์สูงกว่า 95% เมื่อใช้อย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ

เหมาะสำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดในการใช้เอสโตรเจนแต่ควรได้รับการประเมินจากแพทย์ก่อนใช้

ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดโปรเจสตินเดี่ยวเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สามารถใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนได้ เช่น ผู้ที่มีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดอุดตัน โรคหัวใจ ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง หรือผู้ที่มีไมเกรนแบบมีอาการเตือน นอกจากนี้ ยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุเกิน 35 ปีและสูบบุหรี่ เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันน้อยกว่ายาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม ผู้ที่มีผลข้างเคียงจากเอสโตรเจน เช่น คลื่นไส้ ปวดศีรษะ หรือน้ำหนักเพิ่ม ก็อาจพิจารณาใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดนี้เพื่อลดผลข้างเคียงดังกล่าว

ปลอดภัยสำหรับแม่ที่ให้นมบุตร

ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดโปรเจสตินเดี่ยวเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยสำหรับมารดาหลังคลอดที่ให้นมบุตร เนื่องจากไม่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งอาจส่งผลต่อปริมาณน้ำนม และโปรเจสตินปริมาณน้อยที่อาจผ่านเข้าสู่น้ำนมไม่ส่งผลกระทบต่อทารก อย่างไรก็ตาม มารดาที่ให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดประเภทใดก็ตาม เพื่อพิจารณาความเหมาะสมเป็นรายกรณี

สิ่งสำคัญที่ควรแจ้งเภสัชกร/แพทย์ เมื่อต้องการเริ่มทานยาเม็ดคุมกำเนิด

ก่อนตัดสินใจเลือกยาเม็ดคุมกำเนิด การแจ้งข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับตัวคุณให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะจะช่วยให้แพทย์หรือเภสัชกรสามารถแนะนำยาเม็ดคุมกำเนิดที่เหมาะสมและปลอดภัยกับร่างกายของคุณมากที่สุด โดยข้อมูลที่ควรแจ้งมีดังนี้

1. ประวัติสุขภาพ 

อายุ

หากอายุต่ำกว่า 35 ปีและไม่มีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ สามารถใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวมได้ แต่หากอายุมากกว่า 35 ปี สูบบุหรี่ หรือมีโรคประจำตัว (เช่น ความดันสูง หลอดเลือดสมอง) ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อหลีกเลี่ยงยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน โดยแพทย์หรือเภสัชกรอาจใช้พิจารณาให้ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนเดี่ยวแทน

โรคประจำตัว

โรคประจำตัวบางชนิดอาจเป็นข้อห้ามหรือข้อควรระวังในการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหลอดเลือดดำอุดตัน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง หรือโรคไมเกรนที่มีอาการนำ ผู้ที่มีประวัติเป็นมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งที่ไวต่อฮอร์โมนก็ควรหลีกเลี่ยงยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีเอสโตรเจน นอกจากนี้ ผู้ที่เป็นโรคตับ โรคถุงน้ำดี หรือเบาหวานที่มีภาวะแทรกซ้อนที่หลอดเลือด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดเพื่อเลือกชนิดที่ปลอดภัยกับสุขภาพของตน

ประวัติการแพ้ยา

ประวัติการแพ้ยาหรือส่วนประกอบใด ๆ ในยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นข้อมูลสำคัญที่ต้องแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบก่อนเริ่มใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด หากเคยมีอาการแพ้ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดใดชนิดหนึ่งมาก่อน เช่น มีผื่นแดง คัน หายใจลำบาก หรืออาการบวมตามร่างกาย แพทย์หรือเภสัชกรอาจพิจารณาให้ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดอีกชนิดที่มีส่วนประกอบแตกต่างไป หรืออาจแนะนำวิธีคุมกำเนิดแบบอื่นที่ไม่ใช่ฮอร์โมน เช่น ห่วงอนามัยชนิดไม่มีฮอร์โมน หรือถุงยางอนามัย เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการเกิดอาการแพ้อีก

น้ำหนักและดัชนีมวลกาย

น้ำหนักและดัชนีมวลกาย (BMI) มีผลต่อประสิทธิภาพของยาเม็ดคุมกำเนิดและความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือมีภาวะอ้วน (BMI มากกว่า 30) อาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดอุดตันเมื่อใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีเอสโตรเจน นอกจากนี้ ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ของยาเม็ดคุมกำเนิดบางชนิดอาจลดลงในผู้ที่มีน้ำหนักเกิน ในทางกลับกัน ผู้ที่มีน้ำหนักน้อยหรือ BMI ต่ำกว่า 18.5 อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงจากฮอร์โมนในยาเม็ดคุมกำเนิดมากกว่า

2. วัตถุประสงค์ในการใช้

  • ป้องกันการตั้งครรภ์ 

หากต้องการผลป้องกันการตั้งครรภ์ จำเป็นต้องรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ โดยเฉพาะยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีเฉพาะโปรเจสตินอย่างเดียว การลืมรับประทานยาหรือรับประทานไม่ตรงเวลาเพียงเล็กน้อยประสิทธิภาพในทางปฏิบัติอาจลดลงได้ หากการป้องกันการตั้งครรภ์เป็นเป้าหมายหลัก ควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อพิจารณาเลือกยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงและเหมาะกับวิถีชีวิตของคุณ

  • รักษาสิว 

ยาเม็ดคุมกำเนิดฮอร์โมนรวมอาจสามารถช่วยรักษาสิวที่เกิดจากฮอร์โมนได้ โดยเฉพาะสูตรที่มีฤทธิ์ต้านแอนโดรเจน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิวฮอร์โมน โดยยาเม็ดคุมกำเนิดจะช่วยลดระดับฮอร์โมนแอนโดรเจน ลดการหลั่งน้ำมันจากต่อมไขมัน หากต้องการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดเพื่อช่วยรักษาสิว ควรปรึกษาเภสัชกร แพทย์ผิวหนังหรือสูตินรีแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม

  • ปรับประจำเดือน

ในบางกรณียาเม็ดคุมกำเนิดสามารถช่วยปรับประจำเดือนให้มาอย่างสม่ำเสมอ มีปริมาณที่พอดี และตรงตามกำหนด เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ประจำเดือนมามากเกินไป หรือมีเลือดออกกะปริบกะปรอยระหว่างรอบเดือน ยาเม็ดคุมกำเนิดฮอร์โมนรวมช่วยให้รอบเดือนมีความสม่ำเสมอและคาดเดาได้ (มักมาในช่วงหยุดยา 7 วันหรือตอนทานเม็ดแป้ง) ในขณะที่ยาเม็ดคุมกำเนิดรุ่นใหม่บางชนิดสามารถลดความถี่ของการมีประจำเดือนให้น้อยลง เช่น มาทุก 3 เดือน หรือไม่มีเลย ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการมีประจำเดือนบ่อย ๆ หรือต้องการควบคุมช่วงเวลาที่มีประจำเดือน

  • บรรเทาอาการปวดประจำเดือน

สำหรับผู้ที่มีอาการปวดประจำเดือนรุนแรง ยาเม็ดคุมกำเนิดฮอร์โมนรวมอาจช่วยบรรเทาอาการได้โดยส่งผลให้ประจำเดือนมีปริมาณน้อยลงและอาการปวดลดลง

3. ไลฟ์สไตล์

ความสม่ำเสมอในการทานยา

ยาเม็ดคุมกำเนิดฮอร์โมนรวมมักต้องรับประทานในเวลาเดียวกันทุกวัน แต่มีช่วงเผื่อได้ถึง 12 ชั่วโมง ในขณะที่ยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีเฉพาะโปรเจสตินต้องรับประทานในเวลาเดียวกันทุกวันโดยมีช่วงเผื่อเพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น หากคุณมีไลฟ์สไตล์ที่ไม่เป็นเวลา มีตารางงานไม่แน่นอน หรือเดินทางข้ามเขตเวลาบ่อย ควรหารือร่วมกับแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อพิจารณาทางเลือกที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์

การสูบบุหรี่

ผู้ที่สูบบุหรี่และใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีเอสโตรเจนมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดอุดตัน โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุมากกว่า 35 ปี ถือเป็นข้อห้ามในการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีเอสโตรเจน ผู้ที่สูบบุหรี่และต้องการคุมกำเนิดควรแจ้งเภสัชกรหรือแพทย์เพื่อร่วมกันพิจารณาการใช้วิธีคุมกำเนิดวิธีอื่น

ข้อควรระวังในการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดมีอะไรบ้าง?

การกินยาเม็ดคุมกำเนิดปรับฮอร์โมนควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ โดยเฉพาะในกรณีต่อไปนี้:

1.มีประวัติโรคหลอดเลือดอุดตัน

ผู้ที่มีประวัติหรือปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน เช่น ลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ (Deep Vein Thrombosis – DVT) หรือลิ่มเลือดอุดตันในปอด (Pulmonary Embolism – PE) ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีเอสโตรเจน เนื่องจากเอสโตรเจนเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือด โดยเฉพาะในช่วงปีแรกของการใช้ยา ผู้ที่มีประวัติโรคเหล่านี้ในครอบครัว โดยเฉพาะในญาติสายตรง (พ่อ แม่ พี่น้อง) ก็ควรระมัดระวังและปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดปรับฮอร์โมน แพทย์อาจพิจารณาตรวจหาภาวะเลือดแข็งตัวง่ายผิดปกติ (Thrombophilia) ก่อนการสั่งจ่ายยาเม็ดคุมกำเนิด หรืออาจแนะนำให้ใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่น

2.เป็นโรคตับ

ตับมีหน้าที่สำคัญในการเมตาบอไลซ์ฮอร์โมนในร่างกาย รวมถึงฮอร์โมนในยาเม็ดคุมกำเนิด ผู้ที่มีโรคตับ เช่น ตับอักเสบเรื้อรัง, ตับแข็ง, เนื้องอกในตับที่ยังทำงานอยู่ หรือมีประวัติดีซ่านที่เกิดจากการตั้งครรภ์ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดปรับฮอร์โมนที่มีเอสโตรเจน เนื่องจากอาจเพิ่มภาระให้กับตับและทำให้โรคตับแย่ลง นอกจากนี้ ยาเม็ดคุมกำเนิดอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเนื้องอกตับชนิดไม่ร้ายแรง (hepatic adenoma) ซึ่งพบได้น้อยมากแต่หากเกิดขึ้นอาจทำให้เกิดเลือดออกในช่องท้องได้ ผู้ที่มีโรคตับควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาวิธีคุมกำเนิดที่เหมาะสม

3.มีความดันโลหิตสูง

ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับโรคประจำตัวทุกครั้ง การศึกษาพบว่าผู้หญิงที่มีความดันโลหิตสูงมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจเพิ่มขึ้นหากใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมนี้ แพทย์หรือเภสัชกรอาจพิจารณาให้ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดปรับฮอร์โมนที่มีเฉพาะโปรเจสตินแทน หรือวิธีคุมกำเนิดแบบอื่นที่ไม่ใช้ฮอร์โมน เช่น ห่วงอนามัย ซึ่งมีความปลอดภัยกว่า

4.อายุมากกว่า 35 ปีและสูบบุหรี่

ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 35 ปีและสูบบุหรี่ ไม่ควรใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมเนื่องจากมีความเสี่ยงสูงมากต่อการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจขาดเลือด สารนิโคตินและสารพิษในบุหรี่ร่วมกับฮอร์โมนเอสโตรเจนเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนทางหลอดเลือดถึง 20 เท่า ควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อร่วมกันพิจารณาวิธีคุมกำเนิดอื่น

5.คำแนะนำในการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดอย่างปลอดภัย

การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดปรับฮอร์โมนอย่างปลอดภัยต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจและความระมัดระวัง ยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการตั้งครรภ์หากใช้อย่างถูกต้อง แต่ก็อาจมีความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่ต้องคำนึงถึง การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และเภสัชกร รวมถึงการอ่านฉลากยาอย่างละเอียดจะช่วยให้การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดปรับฮอร์โมนมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากที่สุด

6.ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเริ่มใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด

ก่อนเริ่มใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดปรับฮอร์โมน ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อประเมินความเหมาะสมและความเสี่ยง โดยจะมีการซักประวัติสุขภาพ ประวัติครอบครัว การใช้ยา และปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น ความดันโลหิต โรคหัวใจ ประวัติเส้นเลือดอุดตัน หรือโรคตับ นอกจากนี้ ยังควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรหากมีประวัติโรคไมเกรน เบาหวาน หรือโรคอื่น ๆ ที่อาจได้รับผลกระทบจากฮอร์โมน ในบางกรณีการตรวจร่างกายและตรวจเลือดอาจจำเป็นเพื่อประเมินว่ายาเม็ดคุมกำเนิดชนิดใดเหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล

7.ทานยาให้ตรงเวลาและสม่ำเสมอ

การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดปรับฮอร์โมนให้ได้ผลดีที่สุดคือการรับประทานในเวลาเดียวกันทุกวัน ความสม่ำเสมอมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพของยา หากลืมรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของยาเม็ดคุมกำเนิดและช่วงเวลาที่ลืม ควรอ่านเอกสารกำกับยาหรือปรึกษาเภสัชกรเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติเมื่อลืมรับประทานยา บางกรณีอาจต้องใช้วิธีคุมกำเนิดเสริมเช่นถุงยางอนามัยเป็นเวลา 7 วัน หากลืมทานยา

8.สังเกตผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

ในช่วงแรกของการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดปรับฮอร์โมน อาจมีผลข้างเคียงเช่น คลื่นไส้ เวียนศีรษะ ปวดหัว น้ำหนักเพิ่ม เต้านมคัดตึง หรือประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ซึ่งมักหายไปหลังจากใช้ยาต่อเนื่อง 2-3 เดือน อย่างไรก็ตาม ควรพบแพทย์ทันทีหากมีอาการผิดปกติร้ายแรง เช่น ปวดศีรษะรุนแรง ปวดน่องหรือขา หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก ตาเหลือง หรือมีอาการชัก ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ลิ่มเลือดอุดตัน โรคหัวใจขาดเลือด หรือโรคตับ

9.ตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ

ผู้ที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดควรตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ เพื่อติดตามผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อร่างกาย การตรวจควรรวมถึงการวัดความดันโลหิต การตรวจน้ำหนัก การตรวจเลือดเพื่อประเมินการทำงานของตับและระดับไขมันในเลือด รวมถึงการตรวจภายในและตรวจมะเร็งปากมดลูก บางกรณีอาจต้องตรวจเพิ่มเติมตามความเสี่ยงส่วนบุคคล เช่น การตรวจมวลกระดูก หรือการตรวจคลื่นสมองหากมีประวัติโรคไมเกรน การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้แพทย์สามารถปรับเปลี่ยนชนิดหรือขนาดของยาเม็ดคุมกำเนิดปรับฮอร์โมนเพศหญิงให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายที่อาจเปลี่ยนแปลงไปตามวัย

ยาเม็ดคุมกำเนิดที่เหมาะสมเป็นเรื่องสำคัญ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อการใช้ยาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด การกินยาเม็ดคุมกำเนิดปรับฮอร์โมนเพศหญิงอย่างถูกวิธีจะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดทั้งในด้านการคุมกำเนิดและการดูแลสุขภาพ

คำเตือน: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้เท่านั้น ไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์ได้ กรุณาปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเริ่มใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

สมาคมสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

องค์การอนามัยโลก (WHO)

ปรึกษาเรื่องสุขภาพ และการใช้ยากับเภสัช

คลิกอ่านคอนเท้นอื่นๆที่น่าสนใจ

Previous

รู้หรือไม่!? “น้ำเกลือ” ทำอะไรได้มากกว่าแค่การล้างแผล

Next

ประโยชน์ของโปรตีนทั้งจากพืชและสัตว์ที่หลายคนไม่เคยรู้

Related Topics
Share
WHAT’S HOT
  1. 10 ร้านเสื้อผ้าในไอจีราคาถูก หลักร้อย ไม่ตกเทรนด์
  2. 12 สกินแคร์จาก CICA ส่วนผสมช่วยลดสิว ผิวระคายเคือง
  3. 10 สถานที่ขอพรเรื่องความรัก ช่วยคนโสดไม่ให้นก
  4. 15 ครีมบำรุงผิวขาว และครีมทาผิวขาวยี่ห้อไหนดี 2025
  5. แต่งหน้าเป๊ะปังด้วยเมคอัพ ชิ้นที่สอง1บาท
  6. สั่งผิวสวยด้วย “10 วิตามินบํารุงผิว” ยิ่งทาน ยิ่งปัง!
  7. มาสคาร่า ยี่ห้อไหนดี กันน้ำ ขนตางอนเด้งตลอดวัน
  8. รู้ช้าผิวอาจพัง ! เมื่อหน้าติดสารสเตียรอยด์จากสกินแคร์ที่ใช้
  9. ไอเดียแต่งตัวธีมคริสต์มาส ใส่ไปถ่ายรูปปัง ๆ ทำคอนเทนต์เริ่ด ๆ
  10. รวม 15 ไอเดียเล็บเจลคริสต์มาส 2025 สีเล็บเจลคริสมาสสุดคิ้วท์ กวางก็มี ซานต้าก็มา!
  11. 10 ดินสอเขียนคิ้วยี่ห้อไหนดี กันน้ำ กันเหงื่อ เขียนง่าย สวยเป๊ะตลอดทั้งวัน
*/?>