โหลดแอปฯ
ดาวน์โหลด:
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอปวัตสัน
  • google-play.png
  • app-store.png
  • app-gallery.png
ค้นหาร้านค้า บทความน่าอ่าน
Watsons Services
0
ตะกร้า
Share

การรับประทานไฟเบอร์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต้องอาศัยความเข้าใจที่ถูกต้อง ไฟเบอร์หรือใยอาหารเป็นสารอาหารที่ไม่ถูกย่อยในระบบทางเดินอาหาร แต่มีความสำคัญต่อระบบย่อยอาหารและสุขภาพโดยรวม การเลือกชนิด ปริมาณ และช่วงเวลาที่เหมาะสมในการรับประทานไฟเบอร์จะช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากใยอาหารอย่างเต็มที่ โดยลดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น ท้องอืด แน่นท้อง หรือท้องเสีย บทความนี้จะช่วยตอบคำถามไฟเบอร์กินทุกวันได้ไหม พร้อมแนะนำวิธีกินไฟเบอร์ให้ถูกวิธีตามหลักโภชนาการที่คุณควรรู้

ไฟเบอร์คืออะไร? ทำไมร่างกายจึงต้องการ

ไฟเบอร์หรือใยอาหาร คือสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายย่อยไม่ได้ แต่มีประโยชน์มากมาย เช่น

1. ช่วยระบบขับถ่าย

ไฟเบอร์ช่วยเพิ่มปริมาณและความนุ่มของอุจจาระ ทำให้ขับถ่ายง่ายขึ้นและลดความเสี่ยงของอาการท้องผูก โดยเฉพาะไฟเบอร์ชนิดไม่ละลายน้ำจะดูดซับน้ำในลำไส้ ทำให้อุจจาระอ่อนนุ่ม ส่วนไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้จะช่วยเพิ่มปริมาณแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ ช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ

2. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

ไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ ภายหลังมื้ออาหาร

3. ช่วยควบคุมน้ำหนัก

อาหารที่มีไฟเบอร์สูงมักใช้เวลาในการเคี้ยวนานกว่า อยู่ในกระเพาะอาหารนานกว่า และให้พลังงานต่ำกว่าเมื่อเทียบกับอาหารที่มีไฟเบอร์ต่ำในปริมาณเท่ากัน ทำให้รู้สึกอิ่มนานและช่วยลดปริมาณการบริโภคอาหารโดยรวม

4. เสริมสร้างสุขภาพลำไส้

ไฟเบอร์ช่วยเพิ่มจำนวนแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์และสร้างสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ สุขภาพลำไส้ที่ดีสัมพันธ์กับระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง

ไฟเบอร์ควรกินตอนไหน? เวลาไหนที่เหมาะสมที่สุด

มื้อเช้า (แนะนำ)

ร่างกายตื่นตัวพร้อมย่อยอาหาร

สำหรับคำถามไฟเบอร์ควรกินตอนไหนนั้น แนะนำเป็นช่วงมื้อเช้าเนื่องจากการรับประทานไฟเบอร์ในมื้อเช้าจะสอดคล้องกับจังหวะชีวิต (Circadian Rhythm) ของร่างกาย ซึ่งระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีที่สุดในช่วงเช้า เอนไซม์ในระบบทางเดินอาหารถูกผลิตในปริมาณมาก ทำให้การย่อยและเผาผลาญอาหารมีประสิทธิภาพสูงกว่าช่วงอื่นของวัน การรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูงในช่วงเช้าจึงสำหรับระบบย่อยอาหาร ช่วยลดปัญหาท้องอืดและแน่นท้องที่อาจเกิดขึ้นหากรับประทานในช่วงเวลาอื่น

กระตุ้นระบบขับถ่าย

ไฟเบอร์ที่รับประทานในมื้อเช้าจะกระตุ้นการทำงานของลำไส้ผ่านกลไกท้องเดินใหญ่ (Gastrocolic Reflex) ซึ่งเป็นการตอบสนองตามธรรมชาติของร่างกายหลังรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่มีไฟเบอร์สูง กลไกนี้จะกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ ช่วยผลักดันกากอาหารให้เคลื่อนที่และขับถ่ายได้ง่ายขึ้น หลายการศึกษาพบว่า การรับประทานไฟเบอร์ในช่วงเช้าสามารถช่วยแก้ปัญหาท้องผูกและทำให้การขับถ่ายเป็นไปตามเวลาที่สม่ำเสมอ

ให้พลังงานตลอดวัน

ไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ จะช่วยชะลอการดูดซึมคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดค่อย ๆ เพิ่มขึ้นและลดลงอย่างช้า ๆ ไม่เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำเกินไป ส่งผลให้มีพลังงานสม่ำเสมอตลอดช่วงเช้าถึงกลางวัน ไม่หิวเร็ว

มื้อกลางวัน

เพิ่มความอิ่มท้อง

การรับประทานไฟเบอร์ในมื้อกลางวันช่วยเพิ่มความรู้สึกอิ่มท้องและอิ่มนานขึ้น เนื่องจากไฟเบอร์ดูดซับน้ำในระบบทางเดินอาหารและพองตัว ทำให้อาหารมีปริมาตรเพิ่มขึ้น ส่งสัญญาณความอิ่มไปยังสมอง นอกจากนี้ ไฟเบอร์ยังชะลอการย่อยและการดูดซึมอาหาร ทำให้มีอาหารค้างในกระเพาะนานขึ้น ความรู้สึกอิ่มจึงอยู่ได้นาน ในช่วงบ่ายซึ่งหลายคนมักรู้สึกหิวหรืออยากรับประทานขนมหวาน การรับประทานไฟเบอร์ในมื้อกลางวันจึงช่วยควบคุมความอยากอาหารในช่วงบ่ายได้ดี

ช่วยควบคุมน้ำหนัก

การรับประทานไฟเบอร์ในมื้อกลางวันส่งผลดีต่อการควบคุมน้ำหนักเนื่องจากหลายปัจจัย นอกจากการเพิ่มความรู้สึกอิ่มแล้ว ไฟเบอร์ยังช่วยลดการดูดซึมไขมันและแคลอรี่จากอาหารบางส่วน การศึกษาพบว่า ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูงในมื้อกลางวันมีแนวโน้มรับประทานอาหารในปริมาณที่น้อยลงในมื้อเย็น เนื่องจากความรู้สึกอิ่มยังคงอยู่ อีกทั้งไฟเบอร์ยังช่วยควบคุมการหลั่งอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ส่งเสริมการสะสมไขมัน การรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูงจึงช่วยลดการสะสมไขมันในร่างกาย

ป้องกันอาการง่วงหลังอาหาร

อาการง่วงหลังรับประทานอาหารกลางวัน (Post-lunch dip) เป็นปัญหาที่หลายคนประสบ ซึ่งมักเกิดจากการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของระดับน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง แล้วตามด้วยการลดลงอย่างรวดเร็ว ไฟเบอร์ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลและทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นและลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ช่วยรักษาระดับพลังงานให้คงที่ ลดอาการง่วงและอ่อนเพลียหลังรับประทานอาหาร

มื้อเย็น (ควรระวัง)

รับประทานแต่พอดี

การรับประทานไฟเบอร์ในมื้อเย็นควรคำนึงถึงปริมาณที่เหมาะสม ไม่ควรรับประทานในปริมาณมากเกินไป เนื่องจากระบบย่อยอาหารทำงานช้าลงในช่วงเย็นและกลางคืนตามจังหวะชีวิตของร่างกาย การรับประทานไฟเบอร์มากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องอืด แน่นท้อง หรือรู้สึกไม่สบายท้องได้

เลือกไฟเบอร์ที่ย่อยง่าย

ไฟเบอร์มีหลายประเภท บางชนิดย่อยง่ายและไม่ก่อให้เกิดแก๊สมาก ในมื้อเย็นควรเลือกไฟเบอร์ที่ย่อยง่ายเพื่อไม่ให้รบกวนการนอนหลับ

ทานก่อนเวลานอน 2-3 ชั่วโมง

ควรรับประทานอาหารเย็นที่มีไฟเบอร์ให้เสร็จก่อนเวลานอนอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายมีเวลาเพียงพอในการย่อยอาหารก่อนเข้านอน การรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูงใกล้เวลานอนอาจรบกวนการนอนหลับ เนื่องจากระบบย่อยอาหารยังทำงานอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้รู้สึกไม่สบายท้อง มีแก๊ส หรือต้องตื่นมาเข้าห้องน้ำในช่วงกลางดึก งานวิจัยด้านการนอนหลับพบว่า การรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายของวันห่างจากเวลานอนอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง ช่วยให้คุณภาพการนอนดีขึ้น ลดความเสี่ยงของอาการกรดไหลย้อน และช่วยให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะพักผ่อนได้อย่างเต็มที่

วิธีกินไฟเบอร์ให้ถูกวิธี เพื่อประโยชน์สูงสุด

1. เพิ่มปริมาณทีละน้อย

เริ่มจากปริมาณน้อย ๆ

การกินไฟเบอร์ให้ถูกวิธีควรเริ่มจากปริมาณน้อย ๆ ก่อน เช่น เพิ่มผักหนึ่งจานเล็กในแต่ละมื้อ หรือเปลี่ยนจากข้าวขาวเป็นข้าวกล้องในสัดส่วน 1/4 ของจานข้าว การเริ่มรับประทานไฟเบอร์ในปริมาณมากทันทีอาจทำให้เกิดอาการไม่สบายท้อง ท้องอืด แน่นท้อง หรือท้องเสียได้ เนื่องจากแบคทีเรียในลำไส้ยังไม่สามารถปรับตัวกับปริมาณไฟเบอร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ค่อย ๆ เพิ่มปริมาณ

หลังจากร่างกายเริ่มปรับตัวกับปริมาณไฟเบอร์เริ่มต้น จึงค่อย ๆ เพิ่มปริมาณขึ้นทีละน้อยทุกสัปดาห์ เช่น เพิ่มผลไม้หนึ่งชิ้นต่อวัน หรือเพิ่มสัดส่วนข้าวกล้องเป็น 1/2 ของจานข้าว การค่อย ๆ เพิ่มปริมาณจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารมีเวลาปรับตัว และแบคทีเรียที่ดีในลำไส้มีเวลาเพิ่มจำนวนเพื่อช่วยย่อยไฟเบอร์ได้ดีขึ้น

สังเกตการตอบสนองของร่างกาย

ระหว่างการเพิ่มปริมาณไฟเบอร์ ควรสังเกตการตอบสนองของร่างกาย เช่น รูปแบบการขับถ่าย ความรู้สึกอิ่ม ระดับพลังงาน และอาการทางระบบทางเดินอาหาร หากมีอาการไม่พึงประสงค์ เช่น ท้องอืดมาก ท้องเสีย หรือปวดท้องรุนแรง อาจต้องลดปริมาณไฟเบอร์ลงและเพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้าลง แต่ละคนมีความสามารถในการย่อยไฟเบอร์แตกต่างกัน จึงควรปรับให้เหมาะกับร่างกายของตนเอง

2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

1. ดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน

การดื่มน้ำเปล่าอย่างเพียงพอเป็นสิ่งสำคัญเมื่อเพิ่มปริมาณไฟเบอร์ในอาหาร ไฟเบอร์ทำงานได้ดีเมื่อมีน้ำเพียงพอ โดยเฉพาะไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำที่จะดูดซับน้ำและพองตัวเป็นเจลในระบบทางเดินอาหาร หากดื่มน้ำไม่เพียงพอ ไฟเบอร์อาจทำให้เกิดอาการท้องผูกแทนที่จะช่วยระบบขับถ่าย ผู้ใหญ่ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้ว (ประมาณ 2 ลิตร) ต่อวัน และอาจต้องมากขึ้นหากรับประทานไฟเบอร์ในปริมาณสูง

2. ดื่มน้ำระหว่างมื้ออาหาร

การดื่มน้ำระหว่างมื้ออาหารช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง ควรดื่มน้ำก่อนและหลังมื้ออาหารประมาณ 30 นาที แทนการดื่มระหว่างรับประทานอาหาร เพื่อไม่ให้น้ำไปเจือจางน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร การดื่มน้ำอุ่นยังช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหารและการขับถ่ายได้ดีกว่าน้ำเย็น

3. หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอัดลม

เมื่อเพิ่มปริมาณไฟเบอร์ในอาหาร ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอัดลมและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ เนื่องจากเครื่องดื่มเหล่านี้มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้น น้ำอัดลมยังมีน้ำตาลและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการท้องอืดและแน่นท้องเมื่อรับประทานร่วมกับอาหารที่มีไฟเบอร์สูง ควรเลือกดื่มน้ำเปล่า น้ำสมุนไพร หรือน้ำผลไม้ที่ไม่มีน้ำตาลเพิ่มแทน

4. เลือกแหล่งไฟเบอร์ที่หลากหลาย

การรับประทานแหล่งไฟเบอร์ที่หลากหลายจะช่วยให้ร่างกายได้รับทั้งไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำและไม่ละลายน้ำในสัดส่วนที่เหมาะสม รวมทั้งได้รับสารอาหารอื่น ๆ ที่มาพร้อมกับอาหารที่มีไฟเบอร์ธรรมชาติ เช่น วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ การเลือกรับประทานไฟเบอร์จากแหล่งธรรมชาติหลากหลายชนิดยังช่วยส่งเสริมความหลากหลายของแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพของระบบทางเดินอาหารและภูมิคุ้มกันของร่างกาย

ไฟเบอร์จากธรรมชาติ

ผักใบเขียว

ผักใบเขียว เช่น คะน้า ผักโขม ผักกาดหอม บรอกโคลี เป็นแหล่งของไฟเบอร์ที่ดีและมีแคลอรี่ต่ำ วิธีการปรุงมีผลต่อปริมาณไฟเบอร์ การรับประทานผักสดหรือผัดอย่างรวดเร็วจะรักษาปริมาณไฟเบอร์ไว้ได้มากกว่าการต้มเป็นเวลานาน นอกจากนี้ ผักใบเขียวยังมีคลอโรฟิลล์ที่ช่วยในการขับสารพิษและลดกลิ่นไม่พึงประสงค์จากการย่อยไฟเบอร์

ผลไม้สด

ผลไม้สดเป็นแหล่งของไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำที่ดี โดยเฉพาะผลไม้ที่รับประทานทั้งเปลือกหรือมีเมล็ด เช่น แอปเปิล สตรอเบอรี่ ส้ม กีวี และเบอร์รี่ต่าง ๆ ควรรับประทานผลไม้หลากสี เพื่อให้ได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่หลากหลาย ผลไม้ยังมีน้ำตาลธรรมชาติ จึงควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม โดยเฉพาะผู้ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

ธัญพืชไม่ขัดสี

ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ข้าวฟ่าง และควินัว เป็นแหล่งของไฟเบอร์ที่ดีและมีวิตามินบี แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระสูง การเปลี่ยนจากธัญพืชขัดขาว เช่น ข้าวขาว แป้งขาว มาเป็นธัญพืชไม่ขัดสีเป็นวิธีที่ง่ายในการเพิ่มปริมาณไฟเบอร์ในอาหาร ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคำว่า “ธัญพืชไม่ขัดสี” (Whole Grain) เป็นส่วนประกอบแรกในรายการส่วนผสม และหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำตาลหรือเกลือเพิ่มในปริมาณสูง

ถั่วต่าง ๆ

ถั่วชนิดต่าง ๆ ทั้งถั่วเมล็ดแห้ง เช่น ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วลันเตา และผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้ เป็นแหล่งโปรตีนและไฟเบอร์ที่ดี สำหรับผู้ที่ไม่เคยรับประทานถั่วเป็นประจำ ควรเริ่มจากปริมาณเล็กน้อย เช่น 1-2 ช้อนโต๊ะต่อมื้อ แล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้น

ผลิตภัณฑ์เสริมไฟเบอร์

  • ผงไฟเบอร์
  • เครื่องดื่มผสมไฟเบอร์
  • อาหารเสริมไฟเบอร์

ข้อควรระวังในการรับประทานไฟเบอร์

1. อาการที่อาจเกิดขึ้นหากรับประทานมากเกินไป

  • ท้องอืด
  • แน่นท้อง
  • ท้องเสีย
  • ปวดท้อง

2. กลุ่มที่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพิ่มไฟเบอร์

  • ผู้ที่มีโรคลำไส้
  • ผู้ที่เพิ่งผ่าตัดช่องท้อง
  • ผู้ที่มีปัญหาการดูดซึมอาหาร

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับไฟเบอร์

1. ไฟเบอร์กินทุกวันได้ไหม สำหรับการกินเพื่อช่วยขับถ่ายจะเป็นอันตรายหรือไม่

การรับประทานไฟเบอร์เพื่อช่วยการขับถ่ายทุกวันไม่เป็นอันตราย หากอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ไฟเบอร์ตามธรรมชาติจากอาหาร เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และถั่ว มีความปลอดภัยกว่าผลิตภัณฑ์เสริมไฟเบอร์ อย่างไรก็ตาม การเพิ่มไฟเบอร์อย่างฉับพลันอาจทำให้เกิดอาการท้องอืด แน่นท้อง หรือท้องเสียได้ จึงควรค่อย ๆ เพิ่มปริมาณและดื่มน้ำมาก ๆ ร่วมด้วย

สรุป: การกินไฟเบอร์ให้ถูกวิธี

การรับประทานไฟเบอร์ให้ได้ประโยชน์สูงสุด ควรคำนึงถึงทั้งปริมาณ เวลา และวิธีการรับประทานที่เหมาะสม โดยเฉพาะไฟเบอร์ควรกินตอนไหน และวิธีกินไฟเบอร์ให้ถูกวิธีที่ได้กล่าวมาข้างต้น การกินไฟเบอร์ทุกวันอย่างเหมาะสมจะช่วยส่งเสริมสุขภาพที่ดีในระยะยาว

หมายเหตุ: บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น หากมีปัญหาสุขภาพเฉพาะ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการโดยตรง

ปรึกษาเรื่องสุขภาพ และการใช้ยากับเภสัช
Previous

10 สครับขัดผิวหน้า ผิวเนียนใสกิ๊ง

Next

7 ยาคุมฮอร์โมนเดี่ยว ยี่ห้อไหนดี 2025 พร้อมข้อดี และข้อที่ควรรู้

Related Topics
Share
WHAT’S HOT
  1. 10 ร้านเสื้อผ้าในไอจีราคาถูก หลักร้อย ไม่ตกเทรนด์
  2. 12 สกินแคร์จาก CICA ส่วนผสมช่วยลดสิว ผิวระคายเคือง
  3. 10 สถานที่ขอพรเรื่องความรัก ช่วยคนโสดไม่ให้นก
  4. 15 ครีมบำรุงผิวขาว และครีมทาผิวขาวยี่ห้อไหนดี 2025
  5. แต่งหน้าเป๊ะปังด้วยเมคอัพ ชิ้นที่สอง1บาท
  6. ทำความรู้จักกับชุดตรวจการตั้งครรภ์ ควร ใช้อย่างไรให้ได้ผลแม่นยำ
  7. 10 ยาสระผมแก้รังแคยี่ห้อไหนดี ลดปัญหาคันหนังศีรษะ พร้อมวิธีแก้คันหัว
  8. 10 วิธี เวียนหัวกินอะไรหายเบื้องต้น ช่วยลดอาการปวดหัวไมเกรน
  9. 7 ยาคุมฮอร์โมนเดี่ยว ยี่ห้อไหนดี 2025 พร้อมข้อดี และข้อที่ควรรู้
  10. อีฟนิ่งพริมโรส มีสรรพคุณและประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร ควรกินตอนไหน
  11. 12 ลิปมันกันแดดบำรุงปากเนียนนุ่ม ลดปากคล้ำตัวเก่งที่วัตสัน
*/?>