แคลเซียม เป็นแร่ธาตุที่เรียกได้ว่าให้ประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย และยังจำเป็นต่อร่างกายของเราในทุกช่วงอายุเลยด้วย โดยเฉพาะในวัยที่มีอายุมากขึ้น หรือผู้สูงอายุที่ร่างกายจะดูดซึมแคลเซียมน้อยลง และเริ่มไม่สะสมแคลเซียม จึงทำให้เกิดปัญหากระดูก และฟัน ทำให้กระดูกเปราะ พรุน ไม่แข็งแรง วัตสันจึงไม่พลาดนำเอา 10 แคลเซียมบำรุงเสริมกระดูกยี่ห้อไหนดี ปี 2025 มาแบ่งปันกันด้วย
แคลเซียม คืออะไร
แคลเซียม เป็นแร่ธาตุที่พบมากที่สุดในร่างกาย ซึ่งร้อยละ 99 ของแคลเซียมจะอยู่ในกระดูก และฟัน ส่วนที่เหลือจะอยู่ในกระแสเลือด และเนื้อเยื่อต่าง ๆ แคลเซียมจะทำหน้าที่หลักในการรักษาความแข็งแรงของกระดูก และฟัน รวมทั้งยังเป็นตัวส่งสัญญาณไปยังเซลล์ และเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย เพื่อให้หลอดเลือด และกล้ามเนื้อหด หรือคลายตัว รวมถึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการแข็งตัวของเลือด และช่วยในการส่งสัญญาณของระบบประสาท รวมถึงการทำงานของเอนไซม์หลายชนิดด้วย
แคลเซียมสำคัญอย่างไร
แคลเซียมมีความสำคัญต่อร่างกายในหลากหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง นอกจากนี้ยังมีความสำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ การหดตัวของหลอดเลือด การแข็งตัวของเลือด และการทำงานของระบบประสาท ถ้าหากขาดแคลเซียมอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น โรคกระดูกพรุน ตะคริว และปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาทได้
แนะนำ 10 แคลเซียมบำรุงเสริมกระดูกยี่ห้อไหนดี ปี 2025
1.Blackmores Bio Calcium+D3
แคลเซียมยี่ห้อไหนดี ขอแนะนำตัวนี้เลย Blackmores Bio Calcium+D3 อาหารเสริมช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง และช่วยในการดูดซึมแคลเซียมในร่างกาย เนื่องจากมีวิตามิน D3 ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญต่อกระดูก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมแคลเซียม เช่น สตรีมีครรภ์ หรือผู้ที่ต้องการป้องกันภาวะกระดูกพรุน
ปริมาณ 60 เม็ด
ราคา 334 บาท
2.Dr.PONG Undenatured collagen type II
อาหารเสริมแคลเซียม Dr.PONG Undenatured collagen type II ช่วยบำรุง และเสริมสร้างกระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อ โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีอาการปวดเข่า เข่าเสื่อม หรือข้อติด ให้มีอาการปวดน้อยลง และเพิ่มความสามารถในการเหยียดข้อเข่า รวมถึงลดการเสื่อมของกระดูกอ่อน ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดเข่า และข้อเสื่อมด้วย
ปริมาณ 30 แคปซูล
ราคา 445 บาท
3.Donutt Livnest Collagen Type II
อาหารเสริมช่วยบำรุงข้อต่อ และกระดูก Donutt Livnest Collagen Type II ลดการเสียดสี ช่วยให้ข้อต่อเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น และกระตุ้นการสร้างกระดูกอ่อน มีสารสกัดจากงาดำ (Black Sesame Extract) ช่วยต้านการอักเสบ ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด และบำรุงส่วนต่างๆ ของร่างกาย เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาข้อเสื่อม หรือต้องการเสริมความแข็งแรงของกระดูกและข้อต่อ
ปริมาณ 30 แคปซูล
ราคา 350 บาท
4.MEGA We care Calcium-D
อาหารเสริมแคลเซียมบำรุงกระดูกยี่ห้อไหนดี ต้องลองตัวนี้ MEGA We care Calcium-D ประกอบด้วยแคลเซียมคาร์บอเนต (Calcium Carbonate) 1,500 มิลลิกรัม ซึ่งให้แคลเซียมอิสระ 600 มิลลิกรัม และวิตามินดี 3 (Vitamin D3) ช่วยบำรุงกระดูก และฟันให้แข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกพรุน และช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมแคลเซียม เช่น หญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร และผู้สูงอายุ
ปริมาณ 20 แคปซูล
ราคา 160 บาท
5.แคลเซียมยี่ห้อ Vida Calcium L-Threonate+D3
Vida Calcium L-Threonate+D3 ช่วยเสริมสร้างกระดูก และฟันให้แข็งแรง ลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน โดยแคลเซียม แอล-ทรีโอเนต ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของแคลเซียมที่สกัดจากข้าวโพด มีจุดเด่นที่การดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีกว่าแคลเซียมชนิดอื่น ๆ เมื่อรวมกับวิตามินดี 3 จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่กระดูกได้ดียิ่งขึ้น
ปริมาณ 60 แคปซูล
ราคา 499 บาท
6.Watsons Calcium 500 mg Plus Vitamin D
อาหารเสริมแคลเซียม Watsons Calcium 500 mg Plus Vitamin D ช่วยเสริมสร้างกระดูก และฟันให้แข็งแรง ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน เนื่องจากมีวิตามินดี ที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น ทำให้แคลเซียมเข้าสู่กระดูกได้มากขึ้น และยังมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ด้วย
ปริมาณ 60 เม็ด
ราคา 295 บาท
7.Vistra Calplex Calcium 700 mg
อาหารเสริม Vistra Calplex Calcium มีแคลเซียมสูงถึง 700 มิลลิกรัม ช่วยเสริมสร้างกระดูก และฟันให้แข็งแรง ป้องกัน และลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมของแมกนีเซียม วิตามินดี และวิตามินเค ซึ่งมีส่วนช่วยในการดูดซึมแคลเซียม และเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก และฟันด้วย
ปริมาณ 30 เม็ด
ราคา 200 บาท
8.Swisse Calcium + Vitamin D3
อาหารเสริมแคลเซียมบำรุงกระดูกยี่ห้อไหนดี ขอแนะนำให้ลองตัวนี้ด้วย Swisse Calcium + Vitamin D3 ช่วยเสริมสร้างกระดูก และฟันให้แข็งแรง แคลเซียมซิเตรตในอาหารเสริมตัวนี้มีส่วนช่วยให้การดูดซึมแคลเซียมดีขึ้น เหมาะสำหรับในผู้ที่ต้องการเสริมแคลเซียม เช่น ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร หรือผู้ที่อยู่ในช่วงหมดประจำเดือน
ปริมาณ 90 เม็ด
ราคา 550 บาท
9.ZEAVITA Tuna Bone Calcium+ 17x
อาหารเสริมยี่ห้อ ZEAVITA Tuna Bone Calcium+ 17x ช่วยเสริมสร้างกระดูก และข้อต่อให้แข็งแรง สกัดจากกระดูกปลาทูน่า ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายกับแคลเซียมในกระดูกมนุษย์ จึงดูดซึมได้ดีกว่าแคลเซียมทั่วไป นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมของวิตามิน D และ K2 ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพในการดูดซึมแคลเซียม และการสร้างมวลกระดูกด้วย
ปริมาณ 60 เม็ด
ราคา 1,280 บาท
10.Bomi Gold Di Collagen Plus Calcium
อาหารเสริม Bomi Gold Di Collagen Plus Calcium ช่วยบำรุงผิว และข้อต่อ มีส่วนผสมหลักคือ คอลลาเจนไดเปปไทด์จากญี่ปุ่น คอลลาเจนไทป์ทู แคลเซียม แอล-ซิสเทอีน และมัลติวิตามิน ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของข้อต่อ และกระดูก ช่วยให้ผิวสวย นุ่มลื่น กระจ่างใส และยังช่วยบำรุงสุขภาพโดยรวมด้วย
ปริมาณ 100 กรัม
ราคา 1,190 บาท
วิธีการเลือกอาหารเสริมแคลเซียมยี่ห้อไหนดี
1.พิจารณาปริมาณแคลเซียมที่จำเป็น
ปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายต้องการในแต่ละช่วงวัยมีความแตกต่างกัน และร่างกายของคนเราก็ต้องการแคลเซียมต่างกันจากหลายปัจจัย เช่น อายุ เพศ โรคประจำตัว และกิจกรรมในชีวิตประจำวัน โดยปริมาณแคลเซียม ที่ควรได้รับต่อวันในแต่ละช่วงวัย มีดังนี้
- เด็กเล็กอายุ 1-3 ปี ควรได้รับแคลเซียม 500 มิลลิกรัม/วัน
- เด็กอายุ 4-8 ปี ควรได้รับแคลเซียม 800 มิลลิกรัม/วัน
- วัยรุ่นอายุ 9-18 ปี ควรได้รับแคลเซียม 1,100 มิลลิกรัม/วัน
- ผู้ใหญ่อายุ 19-50 ปี ควรได้รับแคลเซียม 800 มิลลิกรัม/วัน
- ผู้สูงอายุ 51 ปีขึ้นไป ควรได้รับแคลเซียม 1,000 มิลลิกรัม/วัน
2.เลือกประเภทของแคลเซียมให้เหมาะสมกับงบประมาณ และผลลัพธ์
สำหรับกลุ่มเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุที่มีงบประมาณจำกัด และไม่ได้เป็นผู้ที่มีภาวะกรดในกระเพาะอาหารต่ำ หรือไม่ได้รับประทานยาลดกรด สามารถเลือกอาหารเสริมแคลเซียมประเภท Calcium Carbonate ได้ เพราะมีราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับแคลเซียมประเภทอื่น
3.เลือกอาหารเสริมแคลเซียมที่มีส่วนผสมอื่น ๆ เพื่อช่วยในการดูดซึม
อาหารเสริมแคลเซียมประเภท Calcium Citrate และ Calcium L-Threonate จะมีประสิทธิภาพในการดูดซึมได้ง่ายกว่า Calcium Carbonate และยังสามารถทานได้ในผู้ที่มีภาวะกรดในกระเพาะอาหารต่ำ และยังสามารถรับประทานได้ในขณะท้องว่างไม่ต้องอาศัยอาหารในการดูดซึม เพราะแคลเซียมประเภทนี้ละลายในน้ำได้ดีกว่าด้วย เป็นหนึ่งในอาหารเสริมแคลเซียมที่ทานง่าย และสะดวกอีกด้วย
4.พิจารณารูปแบบของอาหารเสริมแคลเซียมที่บริโภคได้ง่าย
ปัจจุบันอาหารเสริมแคลเซียม แบ่งออกเป็นหลายรูปแบบมากมาย ได้แก่ แบบเม็ด แบบน้ำ แบบเม็ดฟู่ แบบแคปซูล และแบบเจลลี่ สามารถเลือกรูปแบบที่เหมาะสมกับการรับประทาน และการใช้ชีวิตประจำวันได้เลย โดยมีคำแนะนำเบื้องต้นสำหรับการเลือกรูปแบบของอาหารเสริม ดังนี้
- กลุ่มเด็กเล็ก และวัยรุ่น แนะนำเป็นรูปแบบ ผง เจลลี่ หรือ เม็ดฟู่ เพราะการดูดซึมที่รวดเร็วกว่า และสามารถทานได้ง่ายกว่า
- กลุ่มผู้ใหญ่ แนะนำอาหารเสริมในรูปแบบเม็ด และแบบแคปซูล เพราะสะดวกต่อการรับประทาน
- ผู้ที่มีปัญหาในการกลืนยา แนะนำให้เลือกอาหารเสริมแคลเซียมแบบเคี้ยวหรือแบบเหลว
- กลุ่มผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องการเคี้ยว แนะนำอาหารเสริมแคลเซียมในรูปแบบผง เจลลี่ หรือเม็ดฟู่ เพราะการดูดซึมที่รวดเร็วกว่า และสามารถทานได้ง่ายกว่า
5.เลือกอาหารเสริมแคลเซียมที่ได้มาตรฐานความปลอดภัย
ในปัจจุบันมีอาหารเสริมให้เลือกมากมายในท้องตลาด จนเราดูไม่ออกว่าแบบไหนเป็นแบบที่ปลอดภัย และได้มาตรฐาน จึงควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ มีการผลิตมีมาตรฐาน และปลอดภัย โดยตรวจสอบฉลากให้ดีก่อนการซื้อทุกครั้ง และเลือกเฉพาะแบรนด์ที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหาร และยา (อย.) เพื่อป้องกันส่วนผสมที่มีพิษหรือเป็นอันตรายต่อร่างกาย
ประโยชน์ของแคลเซียม
1.ช่วยบำรุงกระดูก และฟัน
แคลเซียมเป็นส่วนประกอบหลักของกระดูก และฟัน มีส่วนช่วยเสริมสร้างความแข็งแรง และเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก ทำให้กระดูก และฟันมีความแข็งแรงทนทานต่อการแตกหัก ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนและฟันผุ
2.ช่วยในการทำงานของกล้ามเนื้อ
แคลเซียมจะทำหน้าที่ควบคุมการหดตัว และการคลายตัวของกล้ามเนื้อ เมื่อเส้นประสาทกระตุ้นกล้ามเนื้อ แคลเซียมจะถูกปล่อยออกมา ทำให้กล้ามเนื้อหดตัว และเมื่อร่างกายขับแคลเซียมออกจากกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อก็จะคลายตัว แคลเซียมจึงมีความสำคัญต่อการเคลื่อนไหว การทรงตัว และการทำงานของกล้ามเนื้อโดยทั่วไปด้วย
3.ช่วยในการทำงานของระบบประสาท
แคลเซียมมีส่วนช่วยในการส่งสัญญาณประสาท ควบคุมการหลั่งสารสื่อประสาท และรักษาสมดุลของแคลเซียมในเซลล์ประสาท เนื่องจากเซลล์ประสาทต้องรักษาสมดุลของแคลเซียมในเซลล์ให้คงที่ แคลเซียมจึงมีส่วนสำคัญในการควบคุมสมดุลนี้
4.ช่วยในการแข็งตัวของเลือด
แคลเซียมเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในกระบวนการแข็งตัวของเลือด (Blood clotting) และยังมีส่วนช่วยควบคุมความเป็นกรดด่างภายในเลือด กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ เพราะแคลเซียมเป็นโคแฟคเตอร์ (cofactor) หรือตัวช่วยในการทำงานของเอนไซม์หลายชนิดที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด รวมถึงแคลเซียมยังมีส่วนช่วยควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมด้วย
5.ป้องกันตะคริว
แคลเซียมมีส่วนช่วยป้องกันตะคริวจากการหน้าที่ในการทำงานร่วมกับกล้ามเนื้อ และระบบประสาทในการหดตัว และคลายตัวอย่างเหมาะสม เมื่อขาดแคลเซียมอาจทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็ง และเป็นตะคริวได้ง่ายขึ้น การได้รับแคลเซียมเพียงพอจากอาหาร หรืออาหารเสริม รวมถึงการรักษาสมดุลของแร่ธาตุอื่น ๆ ในร่างกาย เช่น โพแทสเซียม และแมกนีเซียม จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดตะคริวได้
อย่างที่ได้บอกไปว่า “แคลเซียม” เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างมาก และแคลเซียมยังเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อคนทุกวัย จึงไม่ควรรักษา และเสริมแคลเซียมเอาไว้เสมอ เพื่อบำรุงทั้งกระดูก ฟัน กล้ามเนื้อ รวมไปถึงระบบประสาท และการทำงานของเลือด ให้ทำงานได้อย่างดีนั่นเอง
ข้อมูลอ้างอิง
https://hdmall.co.th/blog/health/calcium/
- 10 วิธีเร่งผมยาวภายใน 7 วัน แบบไม่ต้องง้อยาเร่งผม
- รวมฮิต ครีมลดรอยแผลเป็นหน้าใส ไร้รอยสิว ให้ผิวเนียนสวย
- รวม 10 แคลเซียมบำรุงเสริมกระดูกยี่ห้อไหนดี ปี 2025
- วิตามินลดสิว ตัวช่วยผิวกระจ่างใสลดรอยสิว สวยจากภายใน
- 10 อันดับคลีนซิ่ง เมคอัพรีมูฟเวอร์ยี่ห้อไหนดี ?